คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1471/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการแรงงานสัมพันธ์ ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 75 ให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์พิจารณาคำร้องเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมของนายจ้างต่อลูกจ้างโดยให้นำข้อ 15 ข้อ 16 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งข้อ 15 ให้ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานแจ้งเป็นหนังสือกำหนดวันส่งคำชี้แจงเกี่ยวกับแรงงานและวันเวลาและสถานที่ที่จะพิจารณาข้อพิพาทแรงงานให้ทั้งสองฝ่ายทราบ และข้อ 16 ในการพิจารณาข้อพิพาทแรงงานผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานต้องให้โอกาสทั้งสองฝ่ายชี้แจงแถลงเหตุผลและนำพยานเข้าสืบ การนำมาใช้โดยอนุโลมหมายถึงการนำมาใช้บังคับเท่าที่จะไม่เป็นการขัดขืนต่อการพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดข้อกล่าวหา คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีผลบังคับคู่กรณีได้ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามวิธีการที่ประกาศดังกล่าวได้กำหนดไว้แล้ว
การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้โจทก์ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ ย่อมเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เลิกจ้างจำเลยที่ 8 ที่ 9 เพราะทำงานบกพร่องและหย่อนสมรรถภาพ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ซึ่งพิจารณาชี้ขาดในเรื่องนี้ ได้สั่งให้โจทก์รับจำเลยที่ 8 ที่ 9 เข้าทำงานตามเดิม และคำชี้ขาดของจำเลยกระทำไปโดยฝ่าฝืนต่อข้อ 75 และข้อ 16 ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์ ฉบับลงวันที่ 16 เมษายน 2515 กล่าวคือ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มิได้แจ้งข้อกล่าวหาของจำเลยที่ 8 ที่ 9 ให้โจทก์ทราบ ทั้งมิได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบถึงวันกำหนดส่งคำชี้แจงเกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงาน คำสั่งจึงไม่ชอบขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะคำชี้ขาดเป็นที่สุด ทั้งไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจโจทก์ที่จะอุทธรณ์ต่อศาลได้ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ปฏิบัติถูกต้องแล้ว และบทบัญญัติที่ใช้บังคับในการระงับข้อพิพาทแรงงานให้นำมาใช้บังคับในการพิจารณาการกระทำอันไม่เป็นธรรมระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างโดยอนุโลมเท่านั้น จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามทุกประการ คำชี้ขาดไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายและไม่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง

จำเลยที่ 8 ที่ 9 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยมิได้มีส่วนในการออกคำสั่งแต่ประการใด มิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว

ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย และวินิจฉัยว่าคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามนัยข้อ 15 และข้อ 16 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์ คือไม่แจ้งเป็นหนังสือ กำหนดวันส่งคำชี้แจงเกี่ยวกับคำร้องเรียน วัน เวลา และสถานที่ที่จะพิจารณาคำร้องเรียนให้โจทก์ทราบ ไม่ให้โอกาสโจทก์ชี้แจงแถลงเหตุผลและนำพยานเข้าสืบ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่จำต้องปฏิบัติตาม โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 แต่ไม่มีคำขอบังคับถึงจำเลยที่ 8 ที่ 9 คำฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 8 ที่ 9 จึงไม่ชอบ พิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามคำชี้ขาดที่ 2/2516 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2516 ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 8 ที่ 9

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแรงงานสัมพันธ์มิใช่กฎหมาย หากเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานตามนัยที่กล่าวข้างต้น แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาตามประเด็นที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 อุทธรณ์ แล้วพิพากษาใหม่

ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความแถลงรับกันว่า คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้แจ้งข้อกล่าวหาเรื่องนี้ให้โจทก์ทราบด้วยวาจา โดยแจ้งกับนายประสิทธิ์ ตันสุวรรณ และนายวินัย กรีพานิช ทั้งสองคนเป็นลูกจ้างโจทก์ ไม่ใช่ตัวแทนโจทก์ ในการสอบสวนพยานหลักฐานทางฝ่ายโจทก์นั้นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้สอบสวนปากคำนายประสิทธิ์ ตันสุวรรณ นายวินัย กรีพานิช นายชัชวาลย์ เลื่อมประภัศร์ นายนิคม พงษ์ไทย ลูกจ้างโจทก์ ส่วนพยานเอกสาร คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้รับจากสำนักงานแรงงานเขต 2 ชลบุรี โดยหัวหน้าสำนักงานแรงงานเขต 2 ชลบุรี มีหนังสือไปถึงผู้จัดการโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมเอสโซ่ขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติในการทำงานของจำเลยที่ 8 ที่ 9 และผู้จัดการโรงกลั่นน้ำมันได้รวบรวมส่งไป

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการแรงงานสัมพันธ์ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 75 บัญญัติให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์พิจารณาคำร้องเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมของนายจ้างต่อลูกจ้างโดยให้นำข้อ 15 ข้อ 16 และข้อ 17 ของประกาศฉบับนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะการนำข้อ 15 ข้อ 16 มาใช้บังคับโดยอนุโลมข้อความในข้อ 15 ข้อ 16 มีดังนี้

ข้อ 15 ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับทราบการตั้ง ให้ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานแจ้งเป็นหนังสือกำหนดวันส่งคำชี้แจงเกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงานและวัน เวลา และสถานที่ที่จะพิจารณาข้อพิพาทแรงงานให้ทั้งสองฝ่ายทราบ

ข้อ 16 ในการพิจารณาข้อพิพาทแรงงาน ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานต้องให้โอกาสทั้งสองฝ่ายชี้แจงแถลงเหตุผลและนำพยานเข้าสืบ

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ฎีกาว่า การนำข้อ 15 ข้อ 16 มาใช้บังคับโดยอนุโลมในการพิจารณาเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมนั้น กฎหมายมุ่งประสงค์ แต่เพียงให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์นำเอาวิธีการที่จะเป็นผลดีที่สุดที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นมาใช้ได้เท่านั้น ไม่เป็นการบังคับว่าจะต้องนำมาใช้โดยเคร่งครัดและคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้นำเอาวิธีการพิจารณาในข้อ 15 และข้อ 16 มาใช้โดยอนุโลมแล้ว กล่าวคือสำหรับข้อ 15 ได้มีการแจ้งกำหนดวันส่งคำชี้ขาดของลูกจ้างและนายจ้างด้วยวาจาแล้วและสำหรับข้อ 16 นายจ้างก็มีโอกาสชี้แจงแถลงเหตุผลและได้นำเอกสารทั้งหมดที่โจทก์ระบุอ้างเป็นพยานในคดีนี้นำสืบแสดงต่อคณะอนุกรรมการแรงงานสัมพันธ์แล้ว ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้สืบพยานบุคคลก็เป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ขอสืบพยานเอง วิธีพิจารณาในข้อ 15 และข้อ 16 มิใช่เป็นเงื่อนไขแห่งความสมบูรณ์ในเรื่องวิธีการพิจารณาเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมจนถึงกับถ้าหากมิได้มีการปฏิบัติตามโดยครบถ้วนสมบูรณ์แล้วจะทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดต้องพลอยเสื่อมเสียไปถึงกับเป็นคำชี้ขาดอันมิชอบด้วยกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า การนำเอาข้อ 15 และข้อ 16 มาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น หมายถึงการนำเอาวิธีการตามที่บัญญัติไว้ในข้อ 15 และข้อ 16 มาใช้บังคับเท่าที่จะไม่เป็นการขัดขืนต่อการพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดข้อกล่าวหา เมื่อพิจารณาข้อบัญญัติทั้งสองข้อดังกล่าวแล้ว เห็นได้ว่าการที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะปฏิบัติตามนั้นนอกจากจะไม่เป็นการขัดขืนต่อการพิจารณาและคำวินิจฉัยชี้ขาดข้อกล่าวหาแล้วยังจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายด้วย และเห็นว่าคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีผลบังคับคู่กรณีได้ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามวิธีการที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวได้กำหนดไว้แล้วแต่กรณีนี้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มิได้มีการปฏิบัติตาม คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก็ไม่มีผลบังคับโจทก์ และการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้โจทก์ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการย่อมเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยได้

พิพากษายืน

Share