คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บ.โจทก์ในคดีหนึ่งนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยโจทก์ร้องขัดทรัพย์แล้วได้มีการประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมให้เงิน บ. 5,000 บาท บ. ยอมถอนการยึดทรัพย์และจำเลยยอมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ สัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างบุคคลสามฝ่าย มิใช่สัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หา แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์บังคับได้
เมื่อสัญญายกที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นสัญญาต่างตอบแทนจำเลยย่อมไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา นอกจากโจทก์ยินยอมด้วยหรือโจทก์ผิดสัญญาหรือมีเหตุอื่นที่กฎหมายให้อำนาจจำเลยบอกเลิกได้ แม้โจทก์จะเกี่ยงให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดินทั้งหมด ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนนั้น อันมีอายุความฟ้องร้อง 10 ปี แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ดินมือเปล่า ก็ไม่ทำให้กำหนดอายุความในกรณีนี้เปลี่ยนแปลงไป เพราะมิใช่กรณีแย่งการครอบครอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายบุญคง บุญสม โจทก์ในคดีแดงที่ 178/2505ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย แต่ยึดที่ดินของโจทก์ไปด้วย โจทก์ร้องขัดทรัพย์แล้วตกลงยอมความกัน โดยโจทก์จะให้เงินนายบุญคง 5,000 บาท นายบุญคงจะถอนการยึดทรัพย์ ในการตกลงยอมความดังกล่าว จำเลยยอมยกที่ดินตาม น.ส.3 ให้โจทก์แต่แล้วไม่ยอมโอน ขอให้บังคับ

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยทำสัญญาจริง แต่โจทก์เกี่ยงให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมโอน จำเลยไม่ยอม จำเลยบอกเลิกสัญญาแล้ว และเข้าครอบครองที่พิพาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก แล้วสั่งงดสืบพยานวินิจฉัยว่า สัญญายกให้ไม่จดทะเบียน ตกเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์

จำเลยฎีกา

ที่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยจะได้ลงนามในสัญญายกที่พิพาทให้โจทก์ (เอกสาร จ.1) ก็ตาม สัญญาฉบับนี้หาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ หากแต่เป็นสัญญายกที่พิพาทให้โจทก์โดยเสน่หา เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115 ประกอบกับมาตรา 525

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาตัวสัญญา (เอกสาร จ.1) ประกอบกับคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยแล้ว เห็นได้เด่นชัดว่าสัญญาดังกล่าวได้ทำขึ้น เนื่องจากได้มีการประนีประนอมยอมความระหว่างบุคคลสามฝ่าย คือ นายบุญคง บุญสม ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 178/2505 ยอมความกับโจทก์ในคดีนี้ ซึ่งเป็นผู้ร้องขัดทรัพย์ที่นายบุญคง บุญสม ยึดจากจำเลยในคดีดังกล่าวนั้นโจทก์ในคดีนี้ยอมให้เงินนายบุญคง บุญสม 5,000 บาท นายบุญคงยอมถอนการยึดทรัพย์ และจำเลยในคดีนี้ยอมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ สัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ (เอกสาร จ.1) จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างบุคคลสามฝ่าย และมิใช่เป็นสัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หา เมื่อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์ โจทก์มีสิทธิฟ้องต่อศาลให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้

ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ไปแล้ว ความผูกพันตามสัญญาจึงไม่มี ตามสัญญาพิพาทระบุให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายใน 3 เดือน เมื่อครบกำหนดโจทก์ไม่ได้เรียกร้อง เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาโจทก์ก็เพิกเฉยปล่อยให้จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าอย่างเป็นเจ้าของมา 8-9 ปีแล้วคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าสัญญาพิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญา นอกจากฝ่ายโจทก์ยินยอมด้วย หรือฝ่ายโจทก์ผิดสัญญา หรือมีเหตุอื่นที่กฎหมายให้อำนาจจำเลยบอกเลิกได้ตามคำให้การของจำเลยก็กล่าวไว้แต่เพียงว่า โจทก์เกี่ยงให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน(ที่พิพาท) ทั้งหมดแทนโจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่ยินยอม เมื่อครบกำหนด 3 เดือน จำเลยบอกเลิกสัญญาและเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำให้การของจำเลย ก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญากับโจทก์ไม่ และเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาสิทธิของโจทก์ในอันที่จะบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนย่อมเกิดขึ้นสิทธิดังกล่าวมีอายุความฟ้องร้อง 10 ปี เช่นสัญญาทั่วไป การที่ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าหาทำให้กำหนดอายุความเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่ เพราะมิใช่เป็นกรณีแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท

พิพากษายืน

Share