คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3320/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยที่ 1 ตายขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นอำนาจของศาลดังกล่าวที่จะสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาและไต่สวนให้ได้ความจริง แล้วส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อสั่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตการเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่เอง แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คู่ความฟัง จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 266 ตำบลเสาไห้ (ไผ่ล้อมน้อย)อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ที่ดินส่วนของโจทก์เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน โดยโจทก์ถือสิทธิและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ด้านทิศเหนือจดที่ดินของนางใยหรือไร ทิศตะวันออกจดถนนหลวงทิศตะวันตกจดคลังน้ำมัน โจทก์ประสงค์ที่จะขอแบ่งแยกที่ดินในส่วนของโจทก์เพื่อนำไปทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอก จึงได้แจ้งให้จำเลยทั้งเจ็ดทราบ โดยมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวขอแบ่งแยกที่ดิน จำเลยทั้งเจ็ดได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วแต่ไม่ยอมดำเนินการให้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 266 ตำบลเสาไห้ (ไผ่ล้อมน้อย) อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ให้โจทก์เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน ในส่วนที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ถ้าจำเลยทั้งเจ็ดไม่ยอมไปดำเนินการให้ ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ด

จำเลยทั้งเจ็ดให้การทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม 2 ใน 5 ส่วน โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตามส่วนที่ฟ้องเพราะรับโอนที่ดินพิพาทมาจากมารดาซึ่งในขณะรับโอนเจ้าของรวมยังมิได้มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดแต่อย่างใด มารดาโจทก์ให้บุคคลภายนอกเช่าที่ดินพิพาททั้งแปลง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะยังไม่ได้แจ้งให้เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมทุกคนทราบ โจทก์จึงยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม นางสาวพรพรรณ์ พึ่งวิทย์ ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งเจ็ดไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 266 ตำบลเสาไห้ (ไผ่ล้อมน้อย) อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ตามส่วนถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้ประมูลระหว่างกัน หากตกลงกันไม่ได้ก็ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินสิทธิที่ได้มาแบ่งกันตามส่วนที่โจทก์และจำเลยทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364

โจทก์อุทธรณ์

ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมนายวีระพันธุ์ ศิริบุญ และนางวรรณพร มงคลศิลป์ ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 266 ตำบลเสาไห้ (ไผ่ล้อมน้อย) อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีให้โจทก์เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน ในส่วนที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ถ้าจำเลยทั้งเจ็ดไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ด

จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นควรวินิจฉัยกรณีคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ก่อน โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 โจทก์อุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 7 กันยายน 2542 ซึ่งเป็นวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2541 ขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ในกรณีเช่นนี้ ศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไปก่อน และทำการไต่สวนให้ได้ความจริง แล้วส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 เสียเอง แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คู่ความฟัง จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องก่อน คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ด”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 กับยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้นายวีระพันธุ์ ศิริบุญ และนางวรรณพร มงคลศิลป์ เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์แล้วทำการไต่สวน เสร็จแล้วให้ส่งสำนวนไปให้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งและคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี และให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ด

Share