คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12102/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิ ป.ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมิใช่เป็นการใช้สิทธิในทางพิพาทอันเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของที่ดินจึงไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม หลังจากจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของทางพิพาท โจทก์ทั้งสามมิได้มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าใช้ทางพิพาทโดยมีเจตนาเพื่อให้ได้ทางภาระจำยอม โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะอาศัยความเกี่ยวพันในทางเครือญาติ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทในลักษณะเป็นปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แม้โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองกว่าสิบปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นทางภาระจำยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401
คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามขอให้เปิดทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแต่ประการเดียว แม้คำฟ้องบรรยายว่า ที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีที่ดินของบุคคลอื่นล้อมรอบ ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะประโยชน์ก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสามมิได้ขอให้เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นด้วย ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรื้อถอนประตูเหล็กและรั้วออกไปหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อศาลยกฟ้องโจทก์ทั้งสามด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสามจะฟ้องใหม่ในเรื่องทางจำเป็น

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาท และจดทะเบียนภาระจำยอมทางพิพาท หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางกว้าง 4 เมตร ภายในเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่พิพาทลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2542 บนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 109 ตำบลหน้าเมือง (ดงพระราม) อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ของจำเลยทั้งสองตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 59 ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกจากทางดังกล่าวให้คงมีความกว้างตามแผนที่พิพาท ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนทางภาระจำยอมต่อเจ้าพนักงานที่ดินภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำบังคับ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย นางสุนันท์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทกว้าง 4 เมตรตามแผนที่พิพาท และแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องบนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 109 หมู่ที่ 1 ตำบลหน้าเมือง (ดงพระราม) อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นทางจำเป็นแก่โจทก์ทั้งสามและบริวารในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 59 หมู่ที่ 1 ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรีมีสิทธิใช้ ให้จำเลยทั้งสองรื้อสิ่งกีดขวางออก ห้ามขัดขวาง แต่โจทก์ทั้งสามต้องร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 30,000 บาท คำขอให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองนั้นให้ยก คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแก่โจทก์ทั้งสาม 250 บาท และคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสอง 250 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามประการแรกว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ โจทก์ทั้งสามอ้างว่า ขณะที่นางเป๊ะและนายลาวยังมีชีวิตบุคคลทั้งสองและโจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านทางภาระจำยอมในที่ดินของนางปุ้ยเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว หลังจากโจทก์ที่ 1 แบ่งแยกที่ดินของนางเป๊ะให้จำเลยที่ 1 ส่งผลให้ทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองแต่โจทก์ทั้งสามยังคงใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะตลอดมา เห็นว่า ขณะที่นางเป๊ะยังมีชีวิตอยู่ โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธินางเป๊ะซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมิใช่เป็นการใช้สิทธิในทางพิพาทอันเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของที่ดินจึงไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม หลังจากจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของทางพิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทโดยมิได้ทำการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงทางพิพาทแต่อย่างใด ทางพิพาทยังคงอยู่ในสภาพเดิมจนกระทั่งเมื่อปี 2540 จำเลยทั้งสองทำประตูเหล็กและรั้วในทางพิพาท โจทก์ทั้งสามมิได้มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าใช้ทางพิพาทโดยมีเจตนาเพื่อให้ได้ภาระจำยอม โจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสองเป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน จึงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะอาศัยความเกี่ยวพันในทางเครือญาติเป็นประการสำคัญ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทในลักษณะปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองมากว่าสิบปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองต่อไปมีว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสาม ขอให้เปิดทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแต่ประการเดียว แม้คำฟ้องได้บรรยายว่า ที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีที่ดินของบุคคลอื่นล้อมรอบไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะประโยชน์ก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสามมิได้ขอให้เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นด้วยทั้งในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรื้อถอนประตูเหล็กและรั้วออกไปหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นมิชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง แต่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 และ 1350 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสามจะฟ้องใหม่ในเรื่องทางจำเป็น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share