คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2027/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์บรรทุกชนรถยนต์โดยสารตู้บนทางหลวง เป็นเหตุให้บุตรโจทก์และผู้อื่นในรถยนต์โดยสารตู้ถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นตำรวจทางหลวงได้ขับรถปฏิบัติหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุหลังจากเกิดเหตุแล้ว และมิได้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุรถชนกันการที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยเห็นเหตุการณ์ขณะที่รถชนกัน โดยขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถวิทยุตำรวจทางหลวงตามหลังรถบรรทุกมา และได้เห็นรถโดยสารตู้พุ่งชนรถบรรทุกในช่องทางเดินรถของรถบรรทุกจึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนซึ่งอาจทำให้โจทก์เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 172 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา137ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่วๆ ไปอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่เห็นเหตุการณ์ที่รถยนต์ชนกัน แต่ได้อ้างต่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนว่าเห็นเหตุการณ์ขณะรถยนต์ชนกันโดยชี้จุดที่รถยนต์ชนกันให้จำเลยที่ 3 ดู ซึ่งไม่ตรงกับจุดที่รถยนต์ชนกันจริง และต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่จำเลยที่ 3 ว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ขับรถตามหลังรถยนต์บรรทุกมา เห็นรถยนต์โดยสารตู้แล่นแซงรถอื่นเข้าไปชนกับรถยนต์บรรทุกในเส้นทางรถของรถยนต์บรรทุก ซึ่งความจริงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 157, 172, 189, 83, 90, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ

ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172 ให้ลงโทษบทหนักที่สุดตามมาตรา 172 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 172 ด้วย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองหาได้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุรถชนกันไม่ การที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างและให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยทั้งสองเห็นเหตุการณ์ขณะที่รถชนกัน จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน และการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวอาจทำให้โจทก์ผู้เป็นบิดาของนางเสาวลักษณ์และนางสุภาพรรณผู้ตายซึ่งถึงแก่ความตายเนื่องจากเหตุรถชนกันดังกล่าวได้รับความเสียหายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 172 อันเป็นบทบัญญัติเฉพาะแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่ว ๆ ไปอีก

พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172

Share