แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยซึ่งเป็นทหารใช้อุบายหลอกลวงบุคคลพลเรือนให้ทำใบรับเงินปลอมขึ้นแล้วนำใบรับเงินปลอมนั้นมาเบิกเงินหลวงไปขอให้ลงโทษฐานใช้หนังสือปลอมดังนี้ คดีตกอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตร์ว่ากระทำผิดกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกันหลายอย่าง ฉะเพาะฟ้องของ ๒ และ ๓ โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยทำอุบายหลอกลวง ซ.ครั้งหนึ่ง และ บ.ครั้งหนึ่งให้ทำใบรับเงินปลอมว่าได้ขายเข้าให้แก่กองทหาร แล้วจำเลยนำใบรับเงินปลอมนั้นมาเบิกเงินหลวงไป
ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาว่า ซ. และ บ.เป็นบุคคลพลเรือน มีส่วนกระทำผิดร่วมกับจำเลยมาแต่ต้น ย่อมมิผิดฐานเป็นตัวการและผู้สมรู้ด้วย คดีไม่ได้อยู่ในอำนาจศาลทหาร จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาตัดสินว่า เรื่องนี้ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้กล่าวหาผู้ที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารทำผิดในคดีอาญาด้วยจะเป็นตัวการหรือผู้สมรู้แต่ข้อใดเลย ในฟ้องโจทก์กล่าวว่าการที่พลเรือนทั้ง ๒ ทำใบรับเงินขึ้นเพราะถูกจำเลยใช้อุบายหลอกลวง และได้อ้างคนทั้งสองมาเป็นพะยานโจทก์ เป็นการรับรองว่าคนทั้งสองไม่ได้ทำผิดฐานปลอมใบรับเงินด้วย โจทก์อ้างกฎหมายขอให้ลงโทษจำเลยสำหรับฟ้อง ๒ ข้อนี้เพียงฐานใช้หนังสือปลอมตาม ม.๒๒๗ ทำได้ขอให้ลงโทษฐานปลอมหนังสือไม่ ทั้งทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่าคนทั้ง ๒ ได้กระทำผิดด้วยจำเลยจึงต้องฟังว่าคดีนี้ไม่มีผู้ที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารทำผิดด้วยทุกข้อ คติไม่ต้องบุกห้ามตามพระธรรมนูญศาลทหาร ม.๔๑ แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยทำผิดจริงหรือไม่ ตามพระธรรมนูญศาลทหาร ม.๕๓(๕) จึงพิพากษาให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีตามฟ้องโจทก์ที่กล่าวหาต่อไป