คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14517/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนับระยะเวลา 10 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ต้องนับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลสุดท้าย มิใช่นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 ให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยทั้งสองขาดนัด ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ การนับระยะเวลา 10 ปี จึงต้องนับแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2543 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 อันเป็นวันที่โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 นั้นเกิน 10 ปีแล้ว โจทก์ย่อมไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถที่เช่าซื้อไปคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 41,700 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จำนวนเงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มีนาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายให้โจทก์ต่อไปอีกเดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน แต่ไม่เกิน 15 เดือน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลชั้นต้นออกคำบังคับจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 ได้รับคำบังคับด้วยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2553 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 โจทก์ไม่ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่มีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จึงไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้ว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 ให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยทั้งสองขาดนัด ภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าว ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับสำหรับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2543 และศาลชั้นต้นได้ประกาศให้จำเลยที่ 1 ทราบคำบังคับ ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2543 ต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอให้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยทั้งสองขาดนัดและไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง (เดิม) คดีนี้จึงถึงที่สุดเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งหากนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดียังไม่เกิน 10 ปี การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอโดยเห็นว่าโจทก์มิได้ยื่นคำขอภายในกำหนด 10 ปี จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 คำว่า นับแต่วันมีคำพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าว มีความหมายว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ไม่ใช่นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด หากเป็นคดีที่มีการอุทธรณ์หรือฎีกา เป็นผลให้มีคำพิพากษาหลายศาลต่างชั้นกัน การนับระยะเวลา 10 ปี ตามบทบัญญัติดังกล่าว ก็ต้องนับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลสุดท้าย มิใช่นับแต่วันที่คดีถึงที่สุดสำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 ให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยทั้งสองขาดนัด ภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าว การนับระยะเวลา 10 ปี ตามบทบัญญัติมาตรา 271 จึงต้องนับแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2543 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 อันเป็นวันที่โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 นั้น ปรากฏว่าเป็นการร้องขอให้บังคับคดีที่เกิน 10 ปีแล้ว โจทก์ย่อมไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์นั้นจึงเป็นการชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share