คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6799/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกับจำเลย ในราคา 450,000 บาท จำเลยตกลงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงภายในเดือนมกราคม 2554 จำเลยได้รับเงินครบถ้วนและส่งมอบที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์แล้ว เมื่อครบกำหนด โจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย เท่ากับโจทก์ยอมรับว่า เคยมีการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงระหว่างโจทก์กับจำเลยจริง และที่ดินพิพาททั้งสองเป็นของจำเลย แต่คดีนี้โจทก์กลับอ้างว่า โจทก์ทำสัญญาขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยในราคา 400,000 บาท โดยโจทก์ประสงค์เพียงให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ อันเป็นการแสดงเจตนาลวง คำฟ้องคดีนี้จึงขัดกับคำฟ้องก่อน ทั้งเป็นการอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีก่อน อันแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 35899 และ 35900 ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ คืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35899 และ 35900 ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างโจทก์กับจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 15,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ปี 2535 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับนายภานุพงศ์ วันที่ 31 ตุลาคม 2545 มีการทำสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35899 และ 35900 ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยระบุว่าโจทก์ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยในราคาแปลงละ 200,000 บาท ตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดิน ต่อมาโจทก์กับนายภานุพงศ์จดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2547 นายภานุพงศ์ฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์แผนคดีเยาวชนและครอบครัวเพื่อขอแบ่งสินสมรส วันที่ 11 มีนาคม 2554 นายภานุพงศ์กับโจทก์ตกลงแบ่งสินสมรสโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล มีข้อความระบุว่า นายภานุพงศ์ตกลงยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงซึ่งเป็นสินสมรสให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว ตามสำเนาคำฟ้องและสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงคืนให้แก่โจทก์ ตามหนังสือบอกกล่าวและไปรษณีย์ตอบรับ ในปี 2555 โจทก์ฟ้องคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินสองแปลงซึ่งเป็นแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงในคดีนี้ให้แก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ ตามสำเนาคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1009/2555 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2555
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ทำสัญญาขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยโดยการแสดงเจตนาลวง เป็นเหตุให้สัญญาขายที่ดินเป็นโมฆะหรือไม่ นั้นศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่า การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1009/2555 ของศาลชั้นต้น โจทก์กล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2553 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกับจำเลยในราคา 450,000 บาท จำเลยตกลงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงภายในเดือนมกราคม 2554 จำเลยได้รับเงินครบถ้วนและส่งมอบที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์แล้ว เมื่อครบกำหนด โจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย เท่ากับโจทก์ยอมรับว่า เคยมีการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงระหว่างโจทก์กับจำเลยจริง และที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของจำเลย แต่คดีนี้โจทก์กลับอ้างว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2545 โจทก์ทำสัญญาขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยในราคา 400,000 บาท โดยโจทก์ประสงค์เพียงให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ มิให้สามีโจทก์รับรู้ อันเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยจำเลยทราบรายละเอียดดี ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงคืน แล้วจำเลยเพิกเฉย คำฟ้องคดีนี้จึงขัดกับคำฟ้องเดิมที่โจทก์รับว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของจำเลย ทั้งเป็นการอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีเดิม อันแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ทำสัญญาขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยโดยการแสดงเจตนาลวงเป็นเหตุให้สัญญาขายที่ดินเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share