แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้นจะต้องเป็นการร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอ เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่พิพาทกันในคดีได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา ในชั้นบังคับคดีซึ่งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดแต่เพียงว่า ผู้คัดค้านเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ ถึงหากศาลจะชี้ขาดตัดสินให้โจทก์ชนะ โจทก์ก็มีสิทธิเพียงบังคับให้ผู้คัดค้านออกไปจากที่พิพาทหามีสิทธิบังคับให้ผู้คัดค้านชำระค่าเช่า หรือค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งจำเลยยอมออกจากห้องพิพาทและใช้ค่าเสียหายต่อมาจำเลยและผู้คัดค้านทั้งห้าซึ่งเป็นบริวารของจำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ระหว่างไต่สวนคำร้องของโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำค่าเช่าบ้านรายพิพาทที่เก็บจากผู้เช่าเดือนละ 7,500 บาท มาวางต่อศาลเรื่อยไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่พิพาทกันในคดีได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา แต่คดีนี้เป็นกรณีพิพาทกันในชั้นบังคับคดีซึ่งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดแต่เพียงว่าผู้คัดค้านเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ ถึงหากศาลจะชี้ขาดตัดสินให้โจทก์ชนะ โจทก์ก็มีสิทธิเพียงบังคับให้ผู้คัดค้านออกไปจากทรัพย์ที่พิพาท หามีสิทธิบังคับให้ผู้คัดค้านชำระค่าเช่าหรือค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ ดังนั้น เงินค่าเช่าที่โจทก์ขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำมาวางศาลจึงมิใช่ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์ที่พิพาทกันในคดีอันจะพึงได้รับการคุ้มครอง โจทก์ไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำเงินค่าเช่าดังกล่าวมาวางศาล”
พิพากษายืน