แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่มารดาเอาที่ดินของบุตร ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ไปทำสัญญาจะขายแก่ผู้อื่นนั้นเป็นสัญญาซึ่งตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(1) เป็นที่เข้าใจกันอยู่ว่าจะผูกพันเด็กได้ก็ต่อเมื่อศาลได้อนุญาตให้ขายตามสัญญานั้นแล้ว (อ้างฎีกาที่ 462/2488)
ย่อยาว
คดีได้ความว่า จำเลยเป็นมารดาของเด็กหญิงบุญจันทร์ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดของเด็กหญิงบุญจันทร์ ซึ่งมีอายุ 5 ขวบให้แก่โจทก์ แล้วจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตขายแต่มีนางบุญธรรมพี่สาวของเด็กหญิงบุญจันทร์มาร้องคัดค้าน จำเลยจึงขอถอนคำร้องเสีย แล้วร้องขออนุญาตต่อศาลขายที่ดินนั้นแก่นางบุญธรรมต่อไป โดยได้ราคาสูงกว่าที่จะขายให้โจทก์เป็นเงินพันบาท ศาลอนุญาตให้ขายแก่นางบุญธรรมได้ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินแก่โจทก์ตามสัญญา ถ้ามิสามารถจะขายให้โจทก์ ก็ให้ใช้ค่าเสียหาย และเบี้ยปรับเป็นเงิน 5,000 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจะขายอสังหาริมทรัพย์ของเด็กหญิงบุญจันทร์เป็นสัญญาซึ่งตามนัยแห่งมาตรา 1546(1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นที่เข้าใจกันอยู่ว่า จะผูกพันเด็กหญิงบุญจันทร์ผู้เยาว์ได้ก็ต่อเมื่อศาลได้อนุญาตให้ขายตามสัญญานั้นแล้ว และตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 462/2488 เมื่อศาลยังไม่ได้อนุญาตให้ขายเด็กหญิงบุญจันทร์จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญานั้นและทั้งโจทก์มิได้ฟ้องขอให้นางเล็กมารดาต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ศาลจะพิพากษาให้นางเล็กรับผิดหาได้ไม่
จึงพิพากษายืน