แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ได้ โจทก์จึงไม่ต้องกล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต
มาตรา 1312 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบทบัญญัติที่จำกัดอำนาจกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคลไว้ว่าถ้าบุคคลภายนอกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นโดยสุจริต บุคคลภายนอกนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น ดังนั้น ถ้าจำเลยประสงค์จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องกล่าวอ้างความข้อนี้ขึ้นมาเมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริตคดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทเพียงว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ การนำสืบของจำเลยว่าจำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริต จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นและการที่ศาลยกเรื่องความสุจริตของจำเลยขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นด้วย ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างเรือนลงในที่ดินจำเลย แต่บางส่วนของเรือนรุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์ได้ห้ามปรามแล้วจำเลยไม่เชื่อฟัง กลับอ้างว่าไม่ได้ปลูกรุกล้ำต่อมาได้มีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินโดยเจ้าพนักงานที่ดิน ปรากฏว่าจำเลยปลูกรุกล้ำแนวเขตที่ดินโจทก์ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนเรือนส่วนที่รุกล้ำออกไป และห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ปลูกเรือนรุกล้ำแนวเขตที่ดินโจทก์ เรือนของจำเลยปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งหมด จำเลยครอบครองมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โรงเรือนของจำเลยสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์แต่ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รุกล้ำ จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยสุจริต ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยรื้อถอนได้ พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คำขอนอกนั้นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีไม่มีประเด็นเรื่องจำเลยสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ ศาลชั้นต้นยกเหตุดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นเรื่องนอกประเด็น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์และห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีเพียงว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจยกเรื่องความสุจริตของจำเลยในการสร้างโรงเรือนขึ้นมาวินิจฉัยได้หรือไม่เห็นว่า เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โดยอาศัยอำนาจกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาที่ดินนี้คืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ได้ โจทก์จึงไม่ต้องกล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตดังที่จำเลยฎีกามาแต่ประการใด นอกจากนี้คำฟ้องของโจทก์ยังระบุไว้ด้วยว่าจำเลยบังอาจปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ย่อมมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่าจำเลยทำการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต มาตรา 1312 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นบทบัญญัติที่จำกัดอำนาจกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคลไว้ว่า ถ้าบุคคลภายนอกปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นโดยสุจริตบุคคลภายนอกนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินและจดทะเบียนสิทธิเป็นการจำยอมด้วยเหตุนี้ ถ้าจำเลยประสงค์จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรคแรก ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องกล่าวอ้างความข้อนี้ขึ้นมา แต่คดีนี้จำเลยหาได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริตแต่อย่างใดไม่ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นในเรื่องนี้ไว้คงกำหนดประเด็นพิพาทตามข้อ 2เพียงว่า จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ เท่านั้น การนำสืบของจำเลยว่าจำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริตดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมานั้น จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นและที่ศาลชั้นต้นยกเรื่องความสุจริตของจำเลยในการปลูกสร้างโรงเรือนมาวินิจฉัย ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นด้วย ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
พิพากษายืน