แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองพกปืนไปหาผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ควักปืนออกมาชี้ปากกระบอกปืนไปที่ผู้เสียหายแล้วถามจำเลยที่ 1 ว่า คนนี้ใช่ไหม จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 3 นัด จำเลยที่ 2 ยิงปืนขู่ 1 นัด และพูดขู่ไม่ให้พวกผู้เสียหายติดตาม แล้วจำเลยทั้งสองพากันวิ่งหนีไป ดังนี้ จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
เมื่อตำรวจติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 และแสดงตัวให้ทราบว่าเป็นตำรวจจำเลยที่ 2 จ้องปืนมาที่ตำรวจ แต่ไม่ยิงทั้ง ๆ ที่มีโอกาสยิงได้ ปล่อยให้ตำรวจกระโดดเข้าปัดปืนจากจำเลยจนปืนลั่นโดยไม่ปรากฏว่าปืนลั่นเพราะจำเลยมีเจตนายิง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 จ้องปืนเพื่อขู่ตำรวจเท่านั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้พกอาวุธปืนและกระสุนปืนเข้าไปในเมืองและในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายพันธ์ดอนโดยเจตนาฆ่าแต่นายพันธ์ดอนไม่ถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยที่ 2 ต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ ใช้อาวุธปืนยิงจ่าสิบตำรวจสุทัศน์กับพวกในขณะกระทำการตามหน้าที่ โดยเจตนาฆ่าแต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด ขอให้ลงโทษ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371, 80, 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 138, 140,288, 289, 371, 80, 83 อีกด้วยให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 289,80, 83 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 16 ปีจำเลยที่ 1 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 8 ปีวางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 18 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2สิบสองปี ของกลางริบ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 288, 80 ให้ลงโทษตามมาตรา 288, 80 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 จำคุก 12 ปี คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 แปดปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 เดินมาถึงที่ที่ผู้เสียหายนั่งคุยอยู่กับพวกพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 ก็ควักปืนพกออกมาเอาปากกระบอกปืนชี้ไปที่ผู้เสียหาย และพูดเป็นทำนองถามจำเลยที่ 1 ว่า “คนนี้ใช่ไหม” พอผู้เสียหายถามว่า “เรื่องอะไรกัน” จำเลยที่ 1 ก็ยิงผู้เสียหาย 3 นัด ทันทีนั้นเอง จำเลยที่ 2 ได้ยิงปืนขู่และพูดกับพวกพยานโจทก์ว่า “อย่านะ” เป็นการขู่ไม่ให้พวกพยานโจทก์เข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วจำเลยทั้งสองก็พากันหลบหนีไป จึงวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 แสดงชัดว่าได้ร่วมวางแผนกับจำเลยที่ 1 คิดจะยิงผู้เสียหายมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว จึงได้พกปืนติดตัวมาด้วยกันทั้งสองคน และเมื่อพบผู้เสียหายก็ได้มีการสอบถามกันเพื่อความแน่นอนเพื่อไม่ให้ทำร้ายผิดตัว หลังจากที่จำเลยที่ 1 ยิงแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ยิงขู่เพื่อไม่ให้พยานโจทก์ไล่ติดตามจำเลยที่ 1 กับตนเองจะได้หลบหนีจากการจับกุมไปได้สะดวก จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะได้ความว่าเมื่อจ่าสิบตำรวจสุทัศน์แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และร้องบอกไม่ให้หนีจำเลยที่ 2 ได้เอาหมวกที่บังปืนออก แล้วจ้องปืนตรงมาที่จ่าสิบตำรวจสุทัศน์ก็ตาม แต่เมื่อคำนึงถึงว่าจำเลยที่ 2 เป็นเด็กวัยรุ่น อายุเพียง 19 ปี เมื่อกระทำผิดแล้วหาทางหลบหนีโดยมิได้คิดจะต่อสู้ทำร้ายเจ้าพนักงาน หากแต่หนีไปไม่พ้น ต้องมาประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจำเลยมีโอกาสที่จะยิงจ่าสิบตำรวจสุทัศน์ได้ในทันทีที่จ่าสิบตำรวจสุทัศน์แสดงตัวโดยยิงจากภายในหมวกไม่จำต้องเอาหมวกออกให้จ่าสิบตำรวจสุทัศน์เห็นปืนเสียก่อน ก็ย่อมทำได้แต่จำเลยก็หาได้ยิงไม่ แสดงให้เห็นเจตนาอันแท้จริงของจำเลยที่ 2 ที่จ้องปืนไปยังจ่าสิบตำรวจสุทัศน์ก็เพื่อขู่มิให้จ่าสิบตำรวจสุทัศน์เข้าทำการจับกุมเท่านั้น หาได้มีเจตนายิงไม่ หากแต่จ่าสิบตำรวจสุทัศน์กระโดดเข้าปัดจากจำเลยที่ 2 ปืนจึงลั่นขึ้นในสภาพที่ฉุกละหุกเช่นนั้นอาจเป็นเหตุให้ปืนลั่นได้ โดยจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนายิง คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน
พิพากษายืน