คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2151/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบรรยายฟ้องในคดีแพ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าฟ้องจะต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้นหาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเหมือนกับฟ้องในคดีอาญาไม่
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง แม้โจทก์ไม่แนบบัญชีกระแสรายวันมาท้ายฟ้องและมิได้บรรยายโดยละเอียดตั้งแต่จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี หรือบัญชีเดินสะพัดว่าจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวัน และทำใบนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันในแต่ละเดือนเท่าใดอย่างใด ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะเป็นรายละเอียดที่จะต้องสืบเมื่อมีประเด็นโต้เถียงกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องคำให้การสั่งงดชี้สองสถานแล้ว พิพากษายกฟ้องโดยอ้างว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังนี้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท ตามตาราง1(2)(ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
(โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 1440/2520)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและสัญญาจำนอง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธฟ้องอ้างเหตุหลายประการ รวมทั้งตัดฟ้องว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม

วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดของบัญชีเดินสะพัดว่าแต่ละครั้งจำเลยสั่งจ่ายเงินและนำเงินเข้าเท่าใด จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในการคิดหักทอนบัญชีแต่ละครั้งจำนวนเท่าใด และเป็นดอกเบี้ยจำนวนเท่าใด ประกอบกับไม่มีสำเนาบัญชีกระแสรายวันมาท้ายฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง โดยบรรยายฟ้องระบุวันที่จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเดินสะพัดและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์วงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีอัตราดอกเบี้ย เลขที่ดิน สถานที่ตั้งของที่ดิน ซึ่งจำนองเป็นหลักประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชี วงเงินตามสัญญาจำนอง อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาจำนอง อัตราดอกเบี้ยซึ่งโจทก์คิดเอาจากจำเลยที่ 1 วันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย วันที่จำเลยที่ 1 ตกลงเพิ่มวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี อัตราดอกเบี้ยที่ตกลงกันในการเพิ่มวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี การเพิ่มวงเงินจำนองที่ดินเดิม วันที่โอนหนี้สินและบัญชีเดินสะพัดจากธนาคารโจทก์สาขาหนึ่งมาใช้กับธนาคารโจทก์อีกสาขาหนึ่ง ซึ่งจำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเดินสะพัดไว้วันที่จำเลยที่ 3 จำนองที่ดิน เลขที่ดิน ที่ตั้งของที่ดิน วงเงินจำนอง อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองซึ่งจำเลยที่ 1 จำนองที่ดินเพื่อเป็นหลักประกันหนี้ของที่ 1 รวมทั้งการยอมรับฐานะแห่งการเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ 3 ต่อโจทก์ วันที่จำเลยที่ 2 จำนองเครื่องจักร ชนิด และจำนวนเครื่องจักร วงเงินจำนองเครื่องจักร อัตราดอกเบี้ยในการจำนอง เพื่อเป็นหลักประกันหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 วันที่จำเลยที่ 1จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติม เลขที่ดิน สถานที่ตั้งของที่ดิน วงเงินจำนองอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาจำนอง ระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และการนำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้สิน การตกเป็นลูกหนี้ของโจทก์รวมทั้งวันเริ่มต้นที่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 อัตราดอกเบี้ยที่คิดจากเงินต้น จำนวนเงินต้นที่คิดดอกเบี้ยแต่ละจำนวน จำนวนเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันฟ้อง คำขอให้จำเลยทั้งสามจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่คิดจากจำนวนเงินต้น นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปวิธีบังคับหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีและทรัพย์สินซึ่งจำนองที่จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งทุก ๆ ตอนที่โจทก์บรรยายถึงสัญญากู้ เป็นเงินเกินบัญชีและการจำนองดังกล่าว โจทก์มีเอกสารแสดงรายละเอียดแห่งข้อตกลงระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์แนบมาท้ายฟ้องอย่างครบถ้วนด้วย เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วพอเข้าใจได้ว่า โจทก์ประสงค์จะให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้จำนอง ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่แนบบัญชีกระแสรายวันมาท้ายฟ้องก็ดี และโจทก์มิได้บรรยายโดยละเอียดตั้งแต่จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือบัญชีเดินสะพัดว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันและทำใบนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันในแต่ละเดือนเท่าใดอย่างใดก็ดี ซึ่งจะทำให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในแต่ละเดือนไว้ในบัญชีกระแสรายวัน อันเป็นสาระสำคัญของฟ้องเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามไม่สามารถทราบสภาพของฟ้อง ทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบในการต่อสู้คดี เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การบรรยายฟ้องในคดีแพ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าฟ้องจะต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น หาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเหมือนกับฟ้องในคดีอาญาไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อความที่จำเลยทั้งสามยกขึ้นมาเป็นข้อฎีกาดังกล่าวจึงเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำพยานมาสืบภายหลังเมื่อมีประเด็นโต้เถียงกัน แม้โจทก์มิได้บรรยายข้อความเหล่านั้นมาในฟ้องและมิได้แนบบัญชีเดินสะพัดมาท้ายฟ้องก็ตาม ฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม

พิพากษายืน ส่วนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาที่ศาลชั้นต้นเรียกจากจำเลยทั้งสามตามทุนทรัพย์ที่พิพาทนั้น เห็นว่ายังไม่ถูกต้อง จำเลยควรเสียเพียง 200 บาท ตามตาราง 1(2)(ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย

Share