คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปใช้ยิงผู้ตาย และผู้เสียหายในทางสาธารณะแม้โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง แต่ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยรับว่าไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อน ซึ่งมีพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันและจำเลยก็ มิได้ถามค้านหรือนำสืบหักล้างแต่อย่างใด ย่อมฟังได้ว่า จำเลยมี อาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังได้ด้วยว่าอาวุธปืนที่จำเลย มีโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอาวุธปืนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนและ ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับตามที่โจทก์ฟ้อง จึงลงโทษ จำเลยฐานมีอาวุธปืนที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ในครอบครองไม่ได้ คงลงโทษได้ แต่เฉพาะข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก 2 คนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีอาวุธปืน3 กระบอกซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนและไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส และนายขวัญชัย นาควรี ตาย โดยมีเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

นายจำลอง นาควรี บิดาของนายขวัญชัย นาควรี ผู้ตายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ลงโทษฐานพยายามฆ่า จำคุก 10 ปี ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 20 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 2 ปีฐานพกพาอาวุธปืน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 33 ปี ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะตามฟ้อง คงจำคุกฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น รวม 30 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปใช้ยิงผู้ตายและผู้เสียหายในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางสาธารณะ แต่โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยให้การรับในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การ เอกสารหมาย จ.4 ว่า จำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อน โดยโจทก์มีร้อยตำรวจโทสาคร ปู่ไทย พนักงานสอบสวนมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยให้การรับตามบันทึกคำให้การดังกล่าว ซึ่งในข้อนี้จำเลยก็มิได้ถามค้านหรือนำสืบหักล้างแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาต แต่ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังได้ด้วยว่าอาวุธปืนที่จำเลยมีโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอาวุธปืนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนและไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับตามที่โจทก์ฟ้อง ฉะนั้นจึงลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ในความครอบครองตามที่โจทก์ฟ้องไม่ได้ คงลงโทษได้แต่เฉพาะข้อหาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ จำคุก 1 ปี รวมโทษฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้ 30 ปี แล้ว เป็นจำคุก 31 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share