แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยใช้มีดดาบปลายแหลม ด้ามยาว 23 เซนติเมตร ตัวมีดยาว 52เซนติเมตรและกว้าง 4 เซนติเมตร ฟันผู้เสียหายประมาณ 7-8 ทีมือซ้ายผู้เสียหายถูกฟันเกือบขาด บาดแผลที่แก้มยาวประมาณ5 นิ้ว บาดแผลที่หู 2 แผล (หูฉีกขาดแยกออกจากกัน) อาการสาหัสแพทย์ผ่าตัดฉุกเฉินให้ผู้เสียหายใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จจากลักษณะบาดแผลดังกล่าวแสดงว่าจำเลยฟันผู้เสียหายอย่างแรงหลายทีหากผู้เสียหายไม่ยกมือขึ้นปิดป้องคมมีดที่จำเลยฟันมาอย่างแรง คมมีดอาจผ่านกะโหลกศีรษะเข้าไปถึงสมองทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้หรือหากผู้เสียหายไม่ได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์ทันท่วงที ผู้เสียหายคงถึงแก่ความตายเนื่องจากผลแห่งการกระทำของจำเลย กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มีดดาบเป็นอาวุธฟันทำร้ายนายพิพัฒน์ขาวสอาด ถูกตามบริเวณร่างกายหลายทีโดยเจตนาฆ่า จำเลยได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากแพทย์เยียวยารักษาได้ทัน นายพิพัฒน์จึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288 ริบของกลาง
จำเลยให้การว่า ใช้มีดดาบเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจริง แต่กระทำไปโดยบันดาลโทสะ มิได้มีเจตนาฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 10 ปี และให้ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ปัญหาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา297 หรือฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81ดังที่โจทก์ฎีกา พิเคราะห์แล้ว อาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายนั้นเป็นมีดดาบปลายแหลมด้ามไม้ ด้ามยาว 21 เซนติเมตร ตัวมีดยาว 52เซนติเมตร และโต 4 เซนติเมตร ปรากฏตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.6 ได้ความจากคำเบิกความของนางอุไร ศิริวงษ์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นภรรยาผู้เสียหายและเป็นน้องร่วมสายโลหิตกับจำเลยยืนยันว่า จำเลยฟันผู้เสียหายหลายที ประมาณ 7-8 ที (ตามคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษ เอกสารหมาย จ.4) และตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่า ผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายมือซ้ายถูกฟันเกือบขาดบาดแผลที่แก้มยาวประมาณ 5 นิ้ว บาดแผลที่หู 2 แผล (หูฉีกขาดแยกออกจากกัน) และโจทก์มีนายแพทย์พิพัฒน์ พงศ์รัตนามาน ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรและรักษาบาดแผลของผู้เสียหายมาเป็นพยานเบิกความประกอบว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลหลายแห่ง อาการสาหัสพยานได้ทำการผ่าตัดฉุกเฉินให้แก่ผู้เสียหาย ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จบาดแผลที่ถูกฟันเกือบแขนขาดนั้นตามหลักวิชาการแล้วถ้าโลหิตไหลไม่หยุดและได้รับการปฐมพยาบาลที่ไม่ถูกต้องแล้ว ผู้เสียหายอาจเสียชีวิตได้ บาดแผลที่หูนั้นลึกผ่านหนังศีรษะจนถึงกะโหลกศีรษะซึ่งจะลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร ถ้าผ่านกะโหลกศีรษะเข้าไปโดนสมองแล้วอาจทำให้ผู้เสียหายตายได้ ศาลฎีกาเห็นว่า จากลักษณะบาดแผลดังกล่าวแสดงว่าจำเลยฟันผู้เสียหายอย่างแรงหลายที ไม่ใช่ฟันเพียงทีเดียวดังที่จำเลยนำสืบ จากพฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบมาเชื่อได้ว่า หากนางอุไรภรรยาผู้เสียหายไม่เข้าไปขัดขวางร้องห้ามจำเลยไว้แล้ว จำเลยก็อาจทำร้ายผู้เสียหายจนถึงแก่ความตายได้ หรือหากผู้เสียหายไม่ยกมือขึ้นปิดป้องคมมีดที่จำเลยฟันมาอย่างแรงแล้ว คมมีดอาจผ่านกะโหลกศีรษะเข้าไปโดนสมองทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ หรือหากผู้เสียหายไม่ได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์ทันท่วงทีแล้ว ผู้เสียหายคงต้องถึงแก่ความตายเนื่องจากผลแห่งการกระทำของจำเลย กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพราะการกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลย แต่การกระทำไม่บรรลุผลสมดังเจตนาของจำเลย เพราะมีผู้เข้าห้ามปรามไว้ทันประกอบกับผู้เสียหายยกมือขึ้นปิดป้องไว้ และแพทย์ได้ทำการรักษาพยาบาลได้ทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าหลังเกิดเหตุประมาณ 1 ชั่วโมง จำเลยได้นำมีดดาบของกลางเข้ามอบตัวต่อร้อยตำรวจเอกสงวน คารวุคห์พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการ และแจ้งว่าได้ใช้มีดดาบของกลางฟันทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ และมอบมีดดาบให้ยึดไว้เป็นของกลาง ถือได้ว่าจำเลยได้ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและคำรับของจำเลยต่อเจ้าพนักงานเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ถือได้ว่ามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 10 ปี ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด7 ปี 2 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาอุทธรณ์’.