คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ห. คนทำสวนของจำเลยปลูกต้น กัญชาในที่ดินของจำเลย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลย ต้น กัญชาเป็นของ ห. ผู้ปลูก ไม่ใช่ของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผลิตโดยการเพาะปลูกและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จำนวน 80 กิโลกรัมโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7(5), 8, 26, 75, 76, 102 และริบของกลาง
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7(5), 8, 26, 76 ลงโทษจำคุก1 ปี จำเลยรับในชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ของกลางริบ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า “คดีนี้ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโจทก์ในข้อหาผลิต (ปลูก) กัญชา คงมีปัญหาในชั้นนี้เพียงว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่าต้นกัญชาเป็นพรรณไม้ประเภทไม้ล้มลุก เมื่อจำเลยมิได้เป็นผู้ปลูกแต่ผู้อื่นเป็นผู้ปลูก และการปลูกต้นกัญชาดังกล่าว โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้รู้เห็นเป็นใจด้วยอย่างใดในการปลูก ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีอมรจิตดำริห์ พยานโจทก์ก็ได้ความเพียงว่า จำเลยบอกพยานว่านายโหยคนงานเฝ้าสวนของจำเลยเป็นผู้ปลูกไว้ ในชั้นสอบสวนจำเลยได้ให้การว่าเมื่อจำเลยเข้าไปในสวนยางของจำเลยพบต้นกัญชางอกอยู่ในบริเวณขนำและตามบริเวณร่องยางพารา จำเลยได้บอกนายโหยผู้ปลูกให้ถอนต้นกัญชาที่ปลูกไว้ เพราะเป็นของผิด ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.4 แสดงว่าการปลูกต้นกัญชาดังกล่าวนายโหยคนทำสวนของจำเลยปลูกเอาเองโดยพลการไม่ได้ขออนุญาตจำเลยแต่ประการใด การครอบครองต้นกัญชาดังกล่าวจึงอยู่กับนายโหยผู้ปลูกหาตกอยู่แก่จำเลยไม่โดยไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share