คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีพยาน 1 ปากที่เห็นเหตุการณ์ขณะชาย คนหนึ่งวิ่งไล่เด็กผู้หญิงไป และในมือข้างขวาของชาย ผู้นั้นมีวัตถุยาวประมาณ 1ศอกเศษพยานได้ยิน เสียงเด็กผู้หญิงร้องว่า “กูจะบอกพ่อกู” จุดที่พยานยืนดู เหตุการณ์อยู่นั้น ห่างจากที่คนทั้งสองวิ่งไล่กันประมาณ200-300เมตร พยานจึงไม่สามารถจำได้ว่าเป็นใคร แต่ระยะเวลาที่พยานว่าเห็นเหตุการณ์ตรงกับเวลาที่เกิดเหตุพอดี ชาย ที่วิ่งไล่เด็กผู้หญิงไปก็สวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกับที่พยานพบจำเลยหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย ซึ่งเมื่อนำไปพิจารณาประกอบกับรายละเอียดในคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว ฟังลงโทษจำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงพรรณี โพธิจันทร์ผู้เสียหายแล้วจำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายที่บริเวณศีรษะด้านหลังและบริเวณลำคอหลายทีจนผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 288, 289
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา276, 289(7) ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 8 ปี ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52หนึ่งในสาม ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 5 ปี 4 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุกตลอดชีวิต จำเลยต้องโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต จึงกำหนดโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว
โจทก์และจำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาว่าพยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมาเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ โจทก์มีพยาน1 ปาก คือนายสน พูลพันธ์ ที่เห็นเหตุการณ์ขณะชายคนหนึ่งวิ่งไล่เด็กผู้หญิงไปและในมือข้างขวาของชายผู้นั้นมีวัตถุยาวประมาณ 1 ศอกเศษพยานได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องว่า “กูจะบอกพ่อกู” แต่จุดที่พยานยืนดูกเหตุการณ์อยู่นั้น ห่างจากที่คนทั้งสองวิ่งไล่กันประมาณ 200-300เมตร พยานจึงไม่สามารถจำได้ว่าเป็นใคร มีข้อน่าสังเกตในเบื้อต้นว่าระยะเวลาที่พยานว่าเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวประมาณ 9.00 นาฬิกานั้นตรงกับเวลาที่เกิดเหตุในคดีนี้พอดีชายที่วิ่งไล่เด็กผู้หญิงไปก็สวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกับที่พยานพบจำเลยหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยซึ่งเมื่อนำไปพิจารณาประกอบกับรายละเอียดในคำรับสารภาพของจำเลยแล้วจะเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงรับกันฟังได้ว่า ชายที่กำลังถือวัตถุในมือขวาวิ่งไล่เด็กผู้หญิงไปนั้น ก็คือจำเลยซึ่งกำลังใช้มีดโต้ไล่ฟันผู้ตายนั่นเอง เนื่องจากผู้ตายจะนำเรื่องที่ถูกจำเลยข่มขืนชำเราไปบอกให้บิดาทราบ จำเลยเกรงความผิดจะถูกเปิดเผยขึ้น จึงจำต้องฆ่าผู้ตายเพื่อเป็นการปกปิดการกระทำผิดของตน และถ้อยคำที่พยานได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องว่า “กูจะบอกพ่อกู” ก็ตรงกับข้อเท็จจริงตามคำรับสารภาพของจำเลยและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอดี บริเวณที่เกิดเหตุอยู่ห่างหมู่บ้านถึง 7 กิโลเมตร มีสภาพเป็นภูเขาและมีป่าล้อมรอบสลับกับทุ่งนา ไม่ค่าอยมีบุคคลสัญจรผ่านไปมาเป็นสถานที่เปลี่ยวจึงไม่มีเหตุที่จะชวนให้สงสัยเป็นอย่างอื่นว่า บุคคลทั้งสองที่พยานเห็นกำลังวิ่งไล่กันไปนั้น อาจจะเป็นผู้อื่นที่มิใช่จำเลย และเมื่อพยานกับนายครองศิลป์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งตามไปดูศพผู้ตาย ก็พบจำเลยยืนอยู่ก่อนแล้วตรงบริเวณใกล้กับศพนั่นเอง โดยจำเลยแสร้งเพทุบายกวักมือเรียกให้พยานทั้งสองเข้าไปดูศพ ทำประหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์มิได้รู้เห็นในความผิดที่เกิดขึ้น หลังจากจำเลยถูกจับกุมและรับสารภาพแล้ว ขณะจำเลยแสดงท่าให้เจ้าหน้าที่ถ่านภาพประกอบคำรับสารภาพ ก็ปรากฏจากคำนายอนงค์ โพธิจันทร์ นายบุญศรี จันทะนามนายธำรง พงษ์รักษ์ ผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุ และพันตำรวจตรีบุญเลิศ ไชยลังกา พนักงานสอบสวนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องคอยถามจำเลยทุกขั้นตอนในการทำแผนประทุษกรรม ในบางครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้แสดงแทนผู้ตายทำไม่ถูกจำเลยก็บอกให้ทำใหม่ให้ถูกต้องตรงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จึงเป็นเหตุผลแสดงว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ มิได้มีการขู่บังคับแต่ประการใด สถานที่เกิดเหตุมีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าเขาห่างไกลจากผู้คน จะหวังให้มีประจักษ์พยานชี้ชัดเช่นความผิดที่เกิดขึ้นในย่านชุมชนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวจึงเพียงพอที่จะฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง”
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share