แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าหนี้กับลูกหนี้มีข้อสัญญาว่า เมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาให้ใช้กฎหมายของประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์มาบังคับแก่กรณี และดำเนินกระบวนพิจารณาทางอนุญาโตตุลาการในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาและคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ปรากฏว่ามีข้อผิดพลาด ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์จึงผูกพันลูกหนี้ เจ้าหนี้นำมาฟ้องบังคับในศาลไทยได้โดยไม่จำต้องให้ศาลไทยกลับไปวินิจฉัยอีกว่าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เจ้าหนี้จึงอาศัยคำชี้ขาดทางอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองได้
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เด็ดขาด เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๕ เจ้าหนี้รายที่ ๘ ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นเงิน ๓๒,๒๒๒,๓๓๑.๓๔ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ที่ ๑, ที่ ๒ รายละเอียดปรากฎตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้นัดให้บรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๔ แล้ว โจทก์โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ ๘ ว่า ลูกหนี้ที่ ๑ มิได้เป็นหนี้เจ้าหนี้รายที่ ๘ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ มิได้เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมีขึ้นด้วยการสมยอมกันระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เพื่อเอาเปรียบเจ้าหนี้อื่นโดยไม่สุจริต ลูกหนี้ที่ ๑ โต้แย้งว่า เจ้าหนี้รายที่ ๘ มิได้เป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ที่ ๑ และลูกหนี้ที่ ๑ ไม่เคยตกลงตั้งให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด หากจะมีการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก็ไม่มีผลผูกพันลูกหนี้ที่ ๑ และลูกหนี้ที่ ๑ ไม่เคยทราบคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า น่าเชื่อว่ามีมูลหนี้ต่อกันจริง มูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันพิทักษ์ทรัพย์ ไม่ขาดอายุความและไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม มาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๑ เป็นเงิน ๑๔,๒๗๑,๒๘๕.๒๒ บาท และจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๒ เป็นเงิน ๗,๕๖๐,๕๒๖.๐๓ บาท ตามมาตรา ๑๓๐ (๘) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า ลูกหนี้ที่ ๑ ได้ทำสัญญาว่าด้วยตัวแทนจัดการกับเจ้าหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๑๘ และลูกหนี้ที่ ๒ รับผิดใช้เงินค่าหุ้นซึ่งลูกหนี้ที่ ๒ รับมาจากเจ้าหนี้จำนวน ๘๑๒,๔๙๐ เหรียญสิงคโปร์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๘ ต่อปี นับแต่วันที่ระบุในคำชี้ขาด (๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑) เจ้าหนี้นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสองต่อศาลแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีลูกหนี้ทั้งสองถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีนี้ ศาลแพ่งจึงจำหน่ายคดี ปรากฏตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๖๓๘/๕๘๕๖, ๑๓๖๓๙/๒๕๒๓ เจ้าหนี้จึงมายื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นคดีนี้ ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่าเจ้าหนี้มีสิทธิรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองหรือไม่ เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้มาโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งตั้งขึ้นในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่าคำชี้ขาดดังกล่าวใช้บังคับได้หรือไม่ เห็นว่าตามข้อสัญญาในเอกสารหมาย จ.๑๗ ข้อ ๑๖, ๑๗ และ จ.๑๘ ข้อ ๑๔, ๑๕ กำหนดว่าเมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาให้ใช้กฎหมายของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มาบังคับแก่กรณี และดำเนินกระบวนพิจารณาทางอนุญาโตตุลาการในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ฉะนั้น เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ และเจ้าหนี้ยื่นข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ จึงเป็นการดำเนินการตามข้อตกลงของคู่สัญญา คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการย่อมผูกพันคู่สัญญาคือเจ้าหนี้และลูกหนี้ ข้ออ้างที่ว่าลูกหนี้ทั้งสองไม่เห็นด้วยกับการตั้งอนุญาโตตุลาการก็ดี สัญญาเลิกกันแล้วข้อสัญญาตั้งอนุญาโตตุลาการย่อมเลิกไปด้วยนั้น เห็นว่า ลูกหนี้ที่ ๒ ยอมรับในคำให้การชั้นสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า เมื่อมีการตั้งอนุญาโตตุลาการตามกฎหมายแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์แล้ว ลูกหนี้ที่ ๒ ก็ยอมรับรวมทั้งลูกหนี้ที่ ๑ ก็ต้องยอมรับด้วย แสดงให้เห็นว่าลูกหนี้ทั้งสองไม่โต้แย้งคัดค้านการตั้งอนุญาโตตุลาการ ส่วนที่ลูกหนี้ทั้งสองยกขึ้นอ้างด้วยว่าเมื่อมีการนัดพิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการแล้วมีการเลื่อนการพิจารณาไม่ได้แจ้งให้ลูกหนี้ทั้งสองทราบนั้น เจ้าหนี้นำสืบว่ากฎหมายแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ไม่ได้บัญญัติให้ต้องทำเช่นนั้น โดยมีคำเบิกความของนายมูหะทันบาย คาร์ธิเกสุ อนุญาโตตุลาการผู้ชี้ขาดมาเบิกความเป็นพยานศาลในคดีที่เจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้องลูกหนี้ทั้งสองตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๖๓๘, ๑๓๖๓๙/๒๕๒๓ ว่าในการนัดพิจารณาคดีได้แจ้งให้ลูกหนี้ทั้งสองทราบแล้ว ส่วนการเลื่อนการพิจารณาไปนั้น การพิจารณาคดีของอนุญาโตตุลาการใช้กฎหมายวิธีพิจารณาของศาล ซึ่งกฎหมายไม่มีบัญญัติว่าการเลื่อนไปต้องแจ้งให้คู่กรณีทราบ ทั้งในการพิจารณาคดีลูกหนี้ทั้งสองก็มิได้เข้าสู้คดี นายนูทะทัมมาน คาร์ธิเกสุ จึงชี้ขาดไป คำชี้ขาดถึงที่สุดเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดพลาดแจ้งชัดในคำชี้ขาด จึงจะขอให้ศาลสูงเพิกถอนคำชี้ขาดได้ ฉะนั้น เมื่ออนุญาโตตุลาการชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างเจ้าหนี้ลูกหนี้โดยไม่ปรากฏว่ามีความผิดพลาด คำชี้ขาดย่อมผูกพันลูกหนี้ทั้งสอง ทั้งไม่ปรากฏว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์จึงผูกพันลูกหนี้ และเจ้าหนี้นำมาฟ้องให้บังคับในศาลโทษได้ ทั้งนี้โดยไม่จำต้องให้ศาลไทยกลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงอีกว่า ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ฉะนั้นเมื่อมีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้ลูกหนี้ทั้งสองรับผิด ลูกหนี้ทั้งสองจึงต้องผูกพันตามคำชี้ขาดนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของลูกหนี้ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน