แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทมาก่อนที่ทางราชการจะประกาศสงวนที่ดินเป็นเขตนิคมสร้างตนเอง แม้จะมีการสงวนที่ดิน แต่กรมประชาสงเคราะห์ก็มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดว่าจะไม่รบกวนสิทธิของราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์อยู่ทั้งตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511ก็มิได้มีบทบัญญัติที่จะเป็นการตัดสิทธิของราษฎรที่มีสิทธิในที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ที่พิพาทจึงไม่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จำเลยมิได้สมัครเป็นสมาชิกของนิคมก็ไม่ทำให้จำเลยเสียสิทธิครอบครองอันทำให้ที่พิพาทกลับคืนมาเป็นของรัฐ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินซึ่งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลห้วยเหนืออำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีเนื้อที่ของโจทก์ที่ 1ประมาณ 45 ไร่ ของโจทก์ที่ 2 ประมาณ 3 ไร่ ของโจทก์ที่ 3ประมาณ 24 ไร่ รวมทั้งสิ้น 72 ไร่ อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองปรือใหญ่ ซึ่งทางราชการได้ออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 เดิมนายชัย งามรูป บิดาโจทก์ทั้งสามได้บุกเบิกป่าทำกินที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวมาเป็นเวลาเกือบ30 ปี โดยมิได้เป็นผู้รับฝากดูแลจากจำเลยแต่อย่างใด ต่อมานายชัยได้ยกที่ดินดังกล่าวทั้งสิ้นให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ตามลำดับ ปีพ.ศ. 2525 อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ได้ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค.3) เลขที่ 762, 763 และ 786 ให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ตามลำดับ ต่อมาปี พ.ศ. 2527โจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอขุขันธ์ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้โจทก์ทั้งสามจำเลยได้คัดค้านว่า ที่ดินทั้งหมดที่โจทก์ทั้งสามขอออก น.ส.3 ก.นั้นคือที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 121 ซึ่งจำเลยได้รับให้มาจากนายไกรพบิดาจำเลยเมื่อปี พ.ศ. 2504 โดยนายโกรพได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนายพา วงษ์ขันธ์ และให้นายชัยบิดาโจทก์ดูแลเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอขุขันธ์สอบสวนแล้ว เห็นว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองจึงไม่ออก น.ส.3 ก. ให้โจทก์ทั้งสามและแจ้งให้โจทก์ทั้งสามไปดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลภายใน 60 วันบิดาโจทก์และโจทก์ไม่เคยทราบว่านายพานำที่ดินที่โจทก์ครอบครองทำกินอยู่ไปออก น.ส.3 แล้วขายให้นายโกรพบิดาจำเลย และในวันเดียวกันนั้นเอง นายโกรพได้ทำนิติกรรมยกให้จำเลยซึ่งในขณะทำนิติกรรมนั้นจำเลยรับราชการมีตำแหน่งเป็นพนักงานที่ดินอำเภอขุขันธ์ เชื่อว่านายพาและจำเลยสมคบกันออก น.ส.3 ทับที่ดินซึ่งโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้ครอบครองทำกินอยู่ จึงเป็นการออก น.ส.3 ให้แก่จำเลยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยยังคัดค้านการออก น.ส.3 ก. ของโจทก์ที่ 3 ที่ตั้งอยู่ภายนอกที่ดินตาม น.ส.3ที่จำเลยกล่าวอ้างโดยทุจริต ขอให้พิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2ที่ 3 มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ค.3 เลขที่ 762, 763 และ 786ให้เพิกถอน น.ส.3 เลขที่ 121 หมู่ที่ 7 ตำบลห้วยเหนืออำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ถ้าไม่อาจเพิกถอนได้ให้เปลี่ยนชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท และให้จำเลยไปถอนคำคัดค้านเรื่องราวการขอออก น.ส.3 ก. เหนือที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสามถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยจำเลยให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทหมายเลข 1, 2 และ 3 ท้ายคำให้การจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันโดยเป็นของนายพา วงษ์ขันธ์ซึ่งนายพาได้รับมรดกมาจากบิดามารดาเมื่อปี พ.ศ. 2487และได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2503จึงได้ไปยื่นขอออก น.ส.3 ต่อทางราชการ ทางราชการได้สำรวจรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินและประกาศตามระเบียบครบกำหนดไม่มีผู้ใดคัดค้านทางราชการจึงออก น.ส.3 ให้นายพาปรากฏตาม น.ส.3 เลขที่ 121หมู่ที่ 17 ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษต่อมา ปี พ.ศ. 2504 นายพาได้จดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้นายโกรพ กองทอง บิดาจำเลย นายโกรพได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและได้ให้นายชัยหรือไชย งามรูป และโจทก์ครอบครองแทนนายชัยไม่เคยบุกเบิกทำกินในที่ดินพิพาท นอกจากนี้นายโกรพได้ซื้อที่ดินอีก 1 แปลง ตามแผนที่ท้ายคำให้การหมายเลข 4เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 121 จากนายเกษ เพชรล้วน แล้วยกให้จำเลยครอบครองทำประโยชน์ ปี พ.ศ. 2505 นายชัยได้พาโจทก์ทั้งสามมาขอทำประโยชน์และพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลย ต่อมาจำเลยย้ายไปรับราชการที่อื่น จึงมอบหมายให้นายชัย โจทก์ทั้งสามและนายเสือ อุปมัยเป็นผู้ครอบครองดูแลที่ดินพิพาททั้งหมด และที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 199/121 ไว้แทนจำเลยปัจจุบันที่ดินพิพาทอยู่หมู่ 7ตำบลห้วยใต้ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ การที่โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนจำเลย โจทก์อ้างไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทตามแผนที่ท้ายคำให้การจำเลยหมายเลข 4และที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 199/121 ไม่ได้อยู่ในเขตจัดตั้งนิคมแต่ที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 121 แม้บางส่วนอยู่ในเขตที่ดินซึ่งมีการประกาศจัดตั้งนิคมสร้างตนเองตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองปรือใหญ่ พ.ศ. 2512 ก็หาทำให้ที่ดิน น.ส.3เลขที่ 121 เป็นที่ดินเพื่อการจัดตั้งนิคมไม่ เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ที่ครอบครองอยู่ก่อนการจัดตั้งนิคม แม้ต่อมาอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสามก็เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหรือโอนที่ดิน น.ส.3เลขที่ 121 ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 จ.ล.2 ซึ่งมีชื่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ปรากฏอยู่ภายในเส้นสีแดงแต่ละแปลงโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามลำดับให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินเลขที่ 121 หมู่ที่ 7ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้จำเลยไปถอนคำคัดค้านที่โจทก์ทั้งสามขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยคำขออื่นให้ยก จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินพิพาทแปลง น.ส.3เลขที่ 121 นายพามีหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ตามเอกสารหมาย ล.5 ฟังได้ว่านายพาเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้มาแต่เดิม แล้วได้ขายให้นายโกรพนายโกรพยกให้จำเลย ทั้งจำเลยมีพยานหลายปากยืนยันว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของจำเลยตามแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2513 ถึงปี พ.ศ. 2516ที่นายชัยอ้างว่าตนเป็นผู้นำสำรวจนั้นก็ระบุเลขที่ดินไว้ชัดเจนว่าเป็นที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 121 และ 199 ซึ่งตรงกับ น.ส.3 ของจำเลย นอกจากนี้ยังปรากฏว่า จำเลย นายชัยกับพวกรวม 15 คนเคยถูกฟ้องคดีอาญาฐานสมคบกันลักทรัพย์โดยเข้าไปเกี่ยวข้าวในนาของนายเอียบ มีแก้ว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2496ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 235/2499 และเมื่อปี พ.ศ. 2516 โจทก์ที่ 2 ก็ถูกพนักงานอัยการฟ้องฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตโจทก์ที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามคดีหมายเลขแดงที่ 1412/2516 ซึ่งจำเลยนำสืบว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของจำเลยฝากไว้แก่โจทก์ที่ 2 เพื่อให้คุ้มครองทรัพย์สินที่จำเลยฝากไว้ โดยจำเลยมีหลักฐานการติดต่อขอรับอาวุธปืนดังกล่าวคืนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตามเอกสารหมาย ล.16 จากพฤติการณ์ดังกล่าว ศาลฎีกาเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยได้อนุญาตให้นายชัยกับโจทก์ทั้งสามซึ่งรู้จักกันมาก่อนเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย ที่โจทก์นำสืบว่า นายชัยกับโจทก์ทั้งสามไม่เคยรู้จักจำเลย และนายชัยเป็นผู้เข้าจับจองที่ดินพิพาทเองนั้นไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าการออก น.ส.3 ในที่ดินพิพาทได้กระทำในขณะที่จำเลยเป็นพนักงานที่ดินอำเภอขุขันธ์และหลังจากที่ทางราชการได้ประกาศสงวนที่ดินเป็นเขตนิคมสร้างตนเองแล้ว ทั้งโจทก์ทั้งสามได้ไปขอออกน.ค.3 โดยชอบนั้น เห็นว่า พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมดังกล่าวเพิ่งประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2512 ภายหลังที่จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว แม้จะมีการสงวนที่ดินเพื่อจัดตั้งนิคมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 แต่กรมประชาสงเคราะห์ก็ได้มีหนังสือที่ 6151/2501ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2501 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษตามเอกสารหมาย จ.7 ว่า บริเวณเขตที่ดินที่จะขอสงวนนี้เป็นที่ที่ราษฎรครอบครองทำประโยชน์บางส่วนประมาณ 97 ราย กรมประชาสงเคราะห์จะไม่รบกวนสิทธิของราษฎรแต่อย่างใด ซึ่งที่ดินพิพาทนี้มีการเข้าครอบครองทำประโยชน์ก่อนที่จะมีการสงวนที่ดินดังกล่าวทั้งตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511ก็มิได้มีบทบัญญัติที่จะเป็นการตัดสิทธิของราษฎรที่มีสิทธิในที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้จำเลยมิได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของนิคม ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียสิทธิครอบครองอันทำให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของรัฐโจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขอออก น.ส.3 ก. ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์