คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5570/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีข้อพิรุธและขาดเหตุผลอยู่หลายประการ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต และยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ สำหรับ ข้อหาฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้จำเลยทั้งสี่จะไม่ฎีกา และยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่คดีนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด และความผิดข้อหา ดังกล่าวเป็นความผิดที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันกับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ ในครอบครองเพื่อ จำหน่าย และจำหน่ายดังกล่าวมาแล้ว เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ เป็นชุดเดียวกันมีพิรุธเป็นที่สงสัยลงโทษจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 ที่จะยกฟ้องถึงข้อหาความผิดฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนโดย ไม่ได้รับอนุญาตได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 67, 91, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 91, 83 และสั่งริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือของกลาง กับนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1532/2540 ของศาลชั้นต้น และสั่งคืนธนบัตรจำนวน500 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 57, 91 และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสองการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ1 ปี ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 8 ปีฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 5 ปี ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายคนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 15 ปี จำคุกจำเลยที่ 3มีกำหนด 14 ปี คำรับชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสี่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสี่คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีกำหนดคนละ 11 ปี 3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3มีกำหนด 10 ปี 6 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4155/2540 ของศาลชั้นต้น ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือของกลาง คืนธนบัตรจำนวน 500 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง กับข้อหาร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่หรือไม่ ส่วนข้อหาฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนจำเลยทั้งสี่ไม่ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โจทก์มีสิบตำรวจตรีอนุชา เทพรอด พลตำรวจสมัครประเสริฐ เวียงแก้ว และพันตำรวจตรีมนตรี แป้นเจริญ เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่มาเบิกความได้ความทำนองเดียวกันว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ สืบทราบว่าที่บ้านเกิดเหตุมีการมั่วสุมเสพและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงวางแผนเพื่อจับกุม วันเกิดเหตุเวลาประมาณ17 นาฬิกา พันตำรวจตรีมนตรีได้นำธนบัตรฉบับละ 500 บาท จำนวน 1 ฉบับ ไปถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 กำหนดให้สิบตำรวจตรีอนุชากับพลตำรวจสมัครประเสริฐเป็นผู้นำธนบัตรที่เตรียมไว้ไปทำการล่อซื้อส่วนพันตำรวจตรีมนตรีกับพวกจะตามไปซุ่มดูเหตุการณ์ห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ50 เมตร หากสิบตำรวจตรีอนุชากับพลตำรวจสมัครประเสริฐซื้อเมทแอมเฟตามีนได้ก็ให้วิทยุแจ้งให้ทราบเพื่อเข้าจับกุม สิบตำรวจตรีอนุชาและพลตำรวจสมัครประเสริฐขับรถจักรยานยนต์เข้าไปในบ้านเกิดเหตุ พบจำเลยทั้งสี่กำลังนั่งล้อมวงเสพเมทแอมเฟตามีนกันอยู่โดยมีกระดาษตะกั่วเป็นอุปกรณ์ในการเสพ สิบตำรวจตรีอนุชาเป็นผู้เข้าไปขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ส่งเมทแอมเฟตามีนให้ 5 เม็ด ราคา 500 บาท จำเลยที่ 1 รับเงินแล้วเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างขวา จากนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 พูดว่าจะออกไปดูเส้นทางหน่อย เผื่อมีตำรวจมา แล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ก็ออกไป สักครู่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ก็วิ่งกลับมาตะโกนว่ามีตำรวจมาขณะเดียวกันพันตำรวจตรีมนตรีกับพวกก็ตามจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เข้ามา สิบตำรวจตรีอนุชากับพลตำรวจสมัครประเสริฐจึงแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ สิบตำรวจตรีอนุชาจับข้อมือจำเลยที่ 1 ไว้ จำเลยที่ 1 ผลักอกสิบตำรวจตรีอนุชา เกิดการกอดปล้ำกันล้มลง จำเลยที่ 2 และที่ 4 จะเข้าช่วยจำเลยที่ 1 พลตำรวจสมัครประเสริฐจึงจะจับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 4 เข้าขัดขวางและผลักอกพลตำรวจสมัครประเสริฐล้มลงพอดีพันตำรวจตรีมนตรีกับพวกตามมาทันจึงจับกุมจำเลยทั้งสี่ไว้ สิบตำรวจตรีอนุชารายงานเหตุการณ์ให้พันตำรวจตรีมนตรีทราบและมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ดที่ซื้อได้ให้พันตำรวจตรีมนตรี พันตำรวจตรีมนตรีค้นตัวจำเลยที่ 1 พบธนบัตรจำนวน500 บาท ที่กระเป๋ากางเกงข้างขวาของจำเลยที่ 1 ตรวจสอบแล้วตรงกับที่ถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้ จากการตรวจค้นบริเวณดังกล่าวพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในถุงพลาสติกแบบเปิดปิดได้อีกจำนวน 184 เม็ด และพบกระดาษตะกั่วมีรอยเผาไหม้ 1 ชิ้นจึงยึดเป็นของกลาง ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือและรับฟังได้เพียงใด เห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวมีข้อพิรุธน่าสงสัยอยู่หลายประการว่า ความจริงจะเป็นดังที่เบิกความหรือไม่ เช่น สิบตำรวจตรีอนุชาและพลตำรวจสมัครประเสริฐเบิกความถึงการล่อซื้อว่า เมื่อขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบ้านเกิดเหตุพบจำเลยทั้งสี่กำลังล้อมวงเสพเมทแอมเฟตามีนกันอยู่โดยมีกระดาษตะกั่วเป็นอุปกรณ์การเสพ สิบตำรวจตรีอนุชาเข้าไปขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด มามอบให้ แล้วสิบตำรวจตรีอนุชามอบธนบัตร 500 บาท ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เก็บธนบัตรไว้ที่กระเป๋ากางเกงข้างขวาโดยไม่ปรากฏรายละเอียดเลยว่า จำเลยทั้งสี่ล้อมวงเสพเมทแอมเฟตามีนอยู่บริเวณส่วนใดของบ้านเกิดเหตุ สิบตำรวจตรีอนุชาขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวนกี่เม็ด ราคาเม็ดละเท่าใด จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนมาจากไหน และเมื่อมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่สิบตำรวจตรีอนุชาแล้ว จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนเก็บไว้ที่ใด เป็นคำเบิกความที่เลื่อนลอยขาดน้ำหนักที่จะรับฟัง ที่พันตำรวจตรีมนตรีเบิกความว่า ก่อนวางแผนเพื่อจับกุมได้สืบทราบว่าที่บ้านเกิดเหตุมีการลักลอบเสพเมทแอมเฟตามีนและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ก็ไม่ได้ความชัดเจนว่า สืบทราบมาจากผู้ใด และผู้ใดเป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อจับกุมจำเลยทั้งสี่ได้ พันตำรวจตรีมนตรีเบิกความว่า หลังจากตรวจสอบธนบัตรที่ค้นได้จากจำเลยที่ 1 แล้ว ตรวจค้นบริเวณโรงรถพบเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 184 เม็ด และกระดาษตะกั่วซองบุหรี่ 1 ชิ้น จึงยึดเป็นของกลาง โดยไม่ปรากฏว่าพบเมทแอมเฟตามีนและกระดาษตะกั่วซองบุหรี่บริเวณส่วนใดของโรงรถเป็นคำเบิกความที่ขาดน้ำหนักเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังปรากฏในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งทำที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองราชบุรีเกี่ยวกับการยึดของกลางที่ระบุในรายการที่ 5 ว่า รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน พ-2659 ราชบุรี แต่มีการขีดฆ่าข้อความดังกล่าวออกโดยที่ไม่ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร อันเป็นข้อพิรุธน่าสงสัยอีกประการหนึ่ง ในการสอบสวนคดีนี้ ร้อยตำรวจโทชิดชัยเหมือนเขียว พนักงานสอบสวนไม่ได้ออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ และทำแผนที่แสดงสถานที่เกิดเหตุไว้เพื่อแสดงให้เห็นสภาพของสถานที่เกิดเหตุว่า มีสภาพอย่างไร พยานเข้าไปพบจำเลยทั้งสี่ในลักษณะใด ค้นของกลางได้จากบริเวณใดของที่เกิดเหตุ เกี่ยวกับการต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ก็มีพิรุธน่าสงสัยว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะหากจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ออกมาจากสถานที่เกิดเหตุเมื่อพบกับพันตำรวจตรีมนตรีกับพวกแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จะวิ่งกลับไปยังที่เกิดเหตุอีกประกอบกับจำเลยทั้งสี่ต่างนำสืบว่า ในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไปจากบ้านเกิดเหตุโดยไม่มีข้อกล่าวหาอะไร จำเลยที่ 1 ทราบข่าวจึงขับรถยนต์ติดตามไปก็ถูกจับกุมด้วย ดังนี้ กรณีอาจเป็นไปดังที่จำเลยทั้งสี่นำสืบก็ได้ เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีข้อพิรุธและขาดเหตุผลอยู่หลายประการดังวินิจฉัยข้างต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกประโยชน์แห่งความสงสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตและยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง สำหรับข้อหาฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นแม้จำเลยทั้งสี่จะไม่ฎีกาและยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ตาม แต่คดีนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด และความผิดข้อหาดังกล่าวเป็นความผิดที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันกับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายดังกล่าวมาแล้วเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เป็นชุดเดียวกันมีพิรุธเป็นที่สงสัยลงโทษจำเลยทั้งสี่ไม่ได้เช่นนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 ยกฟ้องถึงข้อหาความผิดฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียด้วยได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนเสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share