คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4701/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์แต่โจทก์ทราบการบอกกล่าว เลิกจ้างภายหลังดังนี้ต้องถือว่าจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ในวันที่โจทก์ได้ทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างและเป็นผลให้เลิกสัญญาจ้างกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 การบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลยที่ประสงค์ให้มีผลเลิกสัญญาก่อนกำหนดนี้จึงไม่ชอบ
จำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 29 มิถุนายน 2541 โจทก์ทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างในวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เป็นผลให้เลิกสัญญาจ้างกันในวันที่ 30 สิงหาคม2541 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้าง 61 วัน แต่โจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนสุดท้ายคือเดือนกรกฎาคม 2541 และได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในเดือนดังกล่าวไปแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเฉพาะเดือนสิงหาคม 2541 จำนวน 30 วัน การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ยังมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้าง 61 วัน เป็นการพิพากษาให้เกินสิทธิที่โจทก์มีสิทธิได้รับและเกินคำขอท้ายฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 52 โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยหลังวันที่ 30 พฤษภาคม 2526 สิทธิได้รับค่าชดเชยหรือค่าชดเชยกับเงินบำเหน็จที่ต้องจ่ายเพิ่มในกรณีค่าชดเชยต่ำกว่าเงินบำเหน็จจะมีจำนวนเท่าใดย่อมเป็นไปตามข้อบังคับโรงงานน้ำตาลกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2527 ข้อ 12 ส่วนมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้กระทรวงการคลังพิจารณาสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆกับให้นำเงินที่ได้จากการขายโรงงานน้ำตาลซึ่งเหลือจากการชำระหนี้ไปจ่ายเป็นค่าชดเชยและเงินบำเหน็จแก่พนักงานเป็นเพียงการอนุมัติให้กระทรวงการคลังสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และนำเงินที่เหลือไปจ่ายเป็นค่าชดเชยและเงินบำเหน็จแก่พนักงานที่มีสิทธิได้รับตามข้อบังคับโรงงานน้ำตาลกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2527 ข้อ 12 หาได้อนุมัติให้พนักงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและเงินบำเหน็จเพิ่มขึ้นหรือผิดแผกไปจากที่กำหนดไว้ตามข้อบังคับดังกล่าวข้อ 12 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะจ่ายเสร็จตามคำขอท้ายฟ้องแต่ละสำนวนแก่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ด
จำเลยทั้งเจ็ดสิบเจ็ดสำนวนให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดเป็นลูกจ้างจำเลยตามวันเข้าทำงานและค่าจ้างอัตราสุดท้ายดังระบุในบัญชีสำหรับรวมการพิจารณาเอกสารหมาย จ.ล.1 โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง กำหนดจ่ายค่าจ้างก่อนวันสิ้นเดือน 1 วัน โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดเป็นลูกจ้างจำเลยหลังวันที่ 30 พฤษภาคม 2526และแต่ละคนมีอายุงานเกิน 5 ปี จำเลยออกข้อบังคับโรงงานน้ำตาล กรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2527 วางหลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จตามเอกสารหมาย จ.ล.2 วันที่ 29 มิถุนายน 2541 จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ด โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2541 แต่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 ดังนั้น ถ้าจำเลยต้องการให้เลิกสัญญาจ้างกันในวันที่ 1 สิงหาคม 2541 จำเลยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนหรืออย่างช้าวันที่ 29 มิถุนายน 2541 การที่จำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดใน วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เพื่อให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่1 สิงหาคม 2541 จึงเป็นการบอกกล่าวที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 และไม่เป็นผลให้เลิกสัญญากันในวันที่ 1 สิงหาคม 2541 ดังระบุไว้ในหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลย จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์แต่ละคนรวมคนละ 61 วัน และแม้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดเรียกมาเพียงคนละ 30 วัน แต่ศาลเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ จึงให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามความจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52 ส่วนดอกเบี้ยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดทวงถามเมื่อใด จึงกำหนดดอกเบี้ยให้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดเข้าทำงานหลังวันที่ 30 พฤษภาคม 2526 จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยอย่างเดียวหรือค่าชดเชยกับเงินบำเหน็จที่จ่ายเพิ่มในกรณีค่าชดเชยต่ำกว่าเงินบำเหน็จตามที่กำหนดในข้อบังคับโรงงานน้ำตาลกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2527 เอกสารหมาย จ.ล.2 ข้อ 12 ส่วนมติคณะรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงการคลังสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่นเงินเดือน ค่าชดเชย และเงินบำเหน็จต่อไปนั้น เป็นการวางหลักเกณฑ์ให้ปฏิบัติทั่วไปจำเลยจะจ่ายเงินใดบ้างต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับจำเลย และจำเลยจ่ายเงินตามข้อบังคับโรงงานน้ำตาลเอกสารหมาย จ.ล.2 ให้โจทก์แต่ละคนครบถ้วนแล้วตามบัญชีรายละเอียดเอกสารท้ายคำให้การ พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดคนละเท่ากับค่าจ้าง 61 วัน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 ตุลาคม2541) จนกว่าจะจ่ายเสร็จตามบัญชีท้ายคำพิพากษาคำขอนอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยทั้งเจ็ดสิบเจ็ดสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2541 จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดเป็นผลให้เลิกสัญญาจ้างกันวันที่ 1 สิงหาคม 2541 แต่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดลงลายมือชื่อในหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เพื่อรับทราบไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นการบอกกล่าวเลิกจ้างในวันที่ 29 มิถุนายน 2541 จึงชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2541 จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดแต่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างในวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 ดังนี้ต้องถือว่าจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดในวันที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดได้ทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างคือวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 และเป็นผลให้เลิกสัญญาจ้างกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าในวันที่ 30 สิงหาคม 2541 การบอกกล่าวเลิกจ้างดังกล่าวของจำเลยที่ประสงค์ให้เป็นผลเลิกสัญญาจ้างกันในวันที่ 1 สิงหาคม 2541 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 คำพิพากษาศาลแรงงานกลางข้อนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ประการที่สองว่า ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์แต่ละคนเกินคำขอท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดในวันที่ 29มิถุนายน 2541 และโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างในวันที่ 1 กรกฎาคม2541 เป็นผลให้เลิกสัญญาจ้างกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าในวันที่ 30 สิงหาคม 2541 ดังวินิจฉัยมาแล้ว ฉะนั้นโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดจึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างคนละ 61 วัน แต่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดบรรยายฟ้องและรับตามคำแก้อุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดได้รับค่าจ้างเดือนสุดท้ายคือเดือนกรกฎาคม 2541 คนละเดือนละ 5,450 บาท ถึง 21,620 บาทและได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในเดือนดังกล่าวไปแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดจึงยังคงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเฉพาะเดือนสิงหาคม 2541จำนวน 30 วัน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดยังมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างคนละ 61 วันอีก เป็นการพิพากษาให้เกินสิทธิที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิได้รับและเกินคำขอท้ายฟ้อง จึงไม่เป็นธรรมแก่จำเลย และไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 52 คำพิพากษาศาลแรงงานกลางข้อนี้ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
สำหรับอุทธรณ์โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเต็มจำนวนตามฟ้อง โดยอ้างว่านอกจากจะมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับโรงงานน้ำตาล กรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2527 ข้อ 12 แล้วยังมีสิทธิได้เงินบำเหน็จตามมติคณะรัฐมนตรีด้วยนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดเป็นลูกจ้างจำเลยหลังวันที่ 30 พฤษภาคม 2526 สิทธิได้รับค่าชดเชยหรือค่าชดเชยกับเงินบำเหน็จที่ต้องจ่ายเพิ่มในกรณีค่าชดเชยต่ำกว่าเงินบำเหน็จจะมีจำนวนเท่าใดย่อมเป็นไปตามข้อบังคับโรงงานน้ำตาล กรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพ.ศ. 2527 ข้อ 12 ส่วนมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้กระทรวงการคลังพิจารณาสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น เงินเดือน ค่าชดเชย และเงินบำเหน็จต่อไปกับอนุมัติให้นำเงินที่ได้จากการขายโรงงานน้ำตาลไปชำระหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด และให้นำเงินส่วนที่เหลือจากการชำระหนี้ส่งคณะกรรมการชำระบัญชีฯ เพื่อดำเนินการจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยแก่พนักงานพร้อมกับดำเนินการในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชำระบัญชีต่อไปนั้น เป็นเพียงการอนุมัติให้กระทรวงการคลังสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับให้นำเงินที่ได้จากการขายโรงงานน้ำตาลซึ่งเหลือจากการชำระหนี้ไปจ่ายเป็นค่าชดเชยและเงินบำเหน็จแก่พนักงานที่มีสิทธิได้รับตามข้อบังคับโรงงานน้ำตาลกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2527 ข้อ 12 เท่านั้น หาได้อนุมัติให้พนักงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและเงินบำเหน็จเพิ่มขึ้นหรือผิดแผกไปจากที่กำหนดไว้ตามข้อบังคับดังกล่าว ข้อ 12 ไม่ ทั้งจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยและเงินบำเหน็จให้โจทก์แต่ละคนตามบัญชีรายละเอียดคำนวณบำเหน็จและค่าชดเชยเอกสารท้ายคำให้การถูกต้องครบถ้วนตามข้อบังคับโรงงานน้ำตาลกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2527 ข้อ 12 แล้ว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกคำขอของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดในข้อนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบเจ็ดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1ถึงโจทก์ที่ 77 เท่ากับค่าจ้างคนละ 30 วัน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share