คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าจ้างหมายความรวมถึงเงินที่จ่ายให้ในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย และถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มีความผิด ให้จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ โดยให้จ่ายเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน ดังนั้นค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงเป็นค่าจ้าง ลูกจ้างทำงานมานาน 1 ปี 8 เดือนครึ่ง แล้วถูกเลิกจ้าง โดยมิได้มีความผิด เมื่อยังมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วน ที่มีสิทธิได้รับโดยสำหรับปีแรกเต็มปีจำนวน 6 วันทำงาน และอีก 8 เดือนครึ่งจำนวน 4 วันทำงาน รวมเป็น 10 วันทำงาน เมื่อนายจ้างเลิกจ้างก็ได้จ่ายเงินค่าจ้าง เงินค่าสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินค่าชดเชยให้ครบถ้วนแล้ว คงมีปัญหาเฉพาะเรื่องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีโดยนายจ้าง อ้างว่าลูกจ้างใช้สิทธิลาหยุดด้วยวาจาไปครบถ้วนแล้วซึ่ง ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าในฐานะที่นายจ้างประกอบกิจการโรงพยาบาล ก็น่าจะมีวิธีการจดแจ้งหรือบันทึกเรื่องการลาหยุดไว้ จึงฟังได้ว่า ลูกจ้างยังมิได้ใช้สิทธิลาหยุด พฤติการณ์ที่ปรากฏยังไม่เพียงพอว่า นายจ้างจงใจผิดนัดในการจ่ายโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จึง ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม โจทก์ฟ้องขอให้ชำระเงินเพิ่มเติมของเงินค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 68,400 บาท และให้ชำระเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15ของเงินค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วันนับแต่วันฟ้อง โดยมิได้มีคำขอให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงเป็นข้อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าว ในศาลแรงงานกลาง และคำขอนี้ก็มิได้ระบุไว้ในคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลของจำเลยเป็นเวลานาน 1 ปี 8 เดือนครึ่ง รับเงินเดือนครั้งสุดท้าย38,000 บาท เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2532 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดโจทก์ไม่เคยลาหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้โจทก์ เป็นระยะเวลา 12 วัน เป็นเงิน 15,200 บาท ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน2533 โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ และวันที่ 16พฤศจิกายน 2533 โจทก์มีหนังสือทวงถามลงทะเบียนตอบรับถึงจำเลยอีกจำเลยเพิกเฉยจำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ 15 ของค่าจ้างที่ค้างชำระทุกระยะ 7 วัน นับแต่วันที่ถึงกำหนดจ่ายคือวันที่ 31 มีนาคม 2532 แต่โจทก์ขอคิดเงินเพิ่มเพียงนับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2533 เป็นเงิน 68,400 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 15,200 บาทให้จำเลยชำระเงินเพิ่มของเงินค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 68,400 บาท และให้ชำระเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15 ของเงินค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อโจทก์ออกจากงาน จำเลยได้จ่ายเงินประเภทต่าง ๆ ให้โจทก์ครบถ้วนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานแล้วโจทก์ทำงานในตำแหน่งนายแพทย์ประจำห้องป่วยฉุกเฉิน และได้รับสิทธิพิเศษต่างจากพนักงานของจำเลยทั่วไป โดยไม่ต้องลงเวลาทำงานและเวลาเลิกงาน การลาหยุดก็ไม่ต้องทำใบลายื่นกับจำเลย โจทก์ได้หยุดงานพักผ่อนเกินกว่าปีละ 6 วันตามกฎหมายกำหนดก่อนออกจากงานโจทก์หยุดพักผ่อนเป็นเวลาเกือบ 20 วัน จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี นอกจากนี้โจทก์ทำงานกับจำเลย 1 ปี 8เดือนครึ่ง มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่เกิน 6 วัน จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามจากโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ทำงานครบ 1 ปี แล้วย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วันทำงานหลังจากนั้นเมื่อโจทก์ทำงานต่อไปอีก 8 เดือนครึ่ง ก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอีก 4 วันทำงาน รวมแล้วโจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ 10 วันทำงาน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 10 วรรคแรก เมื่อโจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้โจทก์ โดยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นเงินชดเชย ไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง ตามนัยแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31แล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 12,666.66 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ทำงานกับจำเลย 1 ปี 8 เดือนครึ่ง โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ทั้งหมด 12 วันทำงาน เห็นว่า การที่โจทก์จะได้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วันทำงานนั้น โจทก์จะต้องทำงานมาแล้วครบ 1 ปีเสียก่อน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 10 วรรคแรก การที่โจทก์ทำงานต่อจากปีแรกมาอีกเพียง 8 เดือนครึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่มีสิทธิได้รับตามข้อ 45ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเมื่อคำนวณตามส่วนแล้วเป็นเวลา 4 วันทำงาน รวมกับปีแรกเต็มปีอีก6 วันทำงาน จึงเท่ากับ 10 วันทำงาน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นค่าจ้างโจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม เห็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 ให้คำนิยามค่าจ้างไว้ว่าหมายความรวมถึงเงินที่จ่ายให้ในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งข้อ 45 และข้อ 32(3) กำหนดว่า ถ้านายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ โดยให้จ่ายเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน ดังนั้น ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงเป็นค่าจ้าง ตามนัยข้อ 2 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น และเห็นควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องเงินเพิ่มไปเลยทีเดียว เห็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 31 กำหนดว่าถ้านายจ้างจงใจผิดนัดในการจ่ายค่าจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เมื่อพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันถึงกำหนดจ่าย นายจ้างจะต้องจ่ายเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้าง ข้อกำหนดนี้ย่อมหมายถึงนายจ้างจงใจผิดนัดในการจ่าย โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ข้อเท็จจริงปรากฎว่าเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้จ่ายเงินค่าจ้าง เงินค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินค่าชดเชย ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วเหตุแห่งคดีนี้ก็พิพาทกันแต่เรื่องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ในฐานะที่จำเลยประกอบกิจการโรงพยาบาลก็น่าจะมีวิธีการจดแจ้งหรือบันทึกเรื่องการลาหยุดพักผ่อนประจำปีไว้จึงฟังได้ว่าโจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏยังไม่เพียงพอที่จะให้รับฟังได้ว่าจำเลยจงใจผิดนัดในการจ่ายโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีให้โจทก์ด้วยนั้น โจทก์มิได้ยกข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลแรงงานกลางและมิได้ระบุคำขอในเรื่องนี้ไว้ในคำขอท้ายฟ้องศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share