คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5585/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นเลื่อนการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยไปตามคำร้องขอของจำเลย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องคำนวณระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางและออกเดินทางเสียแต่เนิ่น ๆเพื่อให้ทันเวลานัดของศาล เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ปรากฏว่ารถยนต์โดยสารที่จำเลยเดินทางมานั้น ใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติเกินกว่าที่คาดคิดแต่อย่างใดจึงเห็นได้ว่าการที่จำเลยมาศาลไม่ทันเวลานัด เป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ไม่ออกเดินทางมาก่อนหน้านั้น ดังนั้น แม้จะฟังเป็นความจริงดังที่จำเลยอ้างในคำร้องก็ไม่มีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำสั่งที่ให้ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยได้ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนเสียก่อนจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 27 พฤษภาคม2530 แต่ต่อมาได้เลื่อนไปวันที่ 7 กรกฎาคม 2530 ครั้นถึงวันนัดไต่สวนที่เลื่อนมา เจ้าหน้าที่ศาลได้ประกาศเรียกจำเลยเข้าห้องพิจารณาหลายครั้ง จนถึงเวลา 11.30 นาฬิกา จำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาเมื่อเวลา 11.35 นาฬิกา และมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยทราบนัดแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาไต่สวนให้เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนยากจน ไม่มีเงินชำระค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์จริง ให้ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลย ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน 7 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งต่อมาในวันเดียวกันเวลา 13 นาฬิกาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว อ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้จงใจละทิ้งคดี เหตุที่มาศาลไม่ทันตามเวลานัดเพราะรถยนต์โดยสารที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครเสียเวลาในการเดินทาง และระหว่างนั้นจำเลยได้โทรศัพท์แจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ศาลทราบเพื่อขอให้ศาลเลื่อนคดีไปในตอนบ่ายแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเลื่อนการไต่สวนมาเป็นวันที่ 7 กรกฎาคม 2530 เวลา 9 นาฬิกา ตามคำร้องขอของจำเลยทั้งสองดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองจะต้องคำนวณระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางจากกรุงเทพมหานครมายังศาลชั้นต้น และออกเดินทางเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ทันเวลานัดของศาล แต่ปรากฏจากคำร้องของจำเลยว่า จำเลยทั้งสองออกจากกรุงเทพมหานครเมื่อเวลา 18.30นาฬิกา ของวันที่ 6 กรกฎาคม 2530 โดยรถยนต์โดยสารของบริษัทขนส่งจำกัด รถยนต์โดยสารมาถึงจังหวัดปัตตานีเวลา 9.45 นาฬิกาของวันที่ 7 กรกฎาคม 2530 หยุดรับประทานอาหารแล้วจึงเดินทางต่อมายังจังหวัดนราธิวาสโดยในคำร้องของจำเลยดังกล่าวไม่ปรากฏว่ารถยนต์โดยสารเที่ยวนั้นใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติเกินกว่าที่คาดคิดแต่อย่างใด จึงเห็นได้ว่า การที่จำเลยทั้งสองมาศาลไม่ทันเวลานัดเป็นเพราะความผิดของจำเลยทั้งสองที่ไม่ออกเดินทางมาก่อนหน้านั้นดังนั้นแม้จะฟังเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสองอ้างในคำร้องก็ไม่มีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำสั่งที่ให้ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองที่ได้สั่งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2530 นั้นได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยดังกล่าวอีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสองโดยไม่ทำการไต่สวนเสียก่อนจึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างต่อมาว่า รถยนต์โดยสารเที่ยวนั้นไม่สามารถแล่นด้วยความเร็วอย่างที่เคยแล่นได้ เพราะมีด่านตำรวจทางหลวงตรวจจับความเร็วตลอดทางนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในภายหลังจำเลยหาได้อ้างเหตุดังกล่าวไว้ในคำร้องฉบับลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2530 ไม่ จึงไม่รับวินิจฉัยให้และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าได้โทรศัพท์จากจังหวัดปัตตานีขอให้เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งขอเลื่อนคดีต่อศาลชั้นต้น แม้จะเป็นความจริงก็ไม่ใช่เหตุสมควรที่จะให้เลื่อนคดีได้ เพราะการที่จำเลยทั้งสองมาไม่ทันเวลานัดเกิดจากความผิดของจำเลยทั้งสองที่ไม่ออกเดินทางเสียแต่เนิ่น ๆ ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว
พิพากษายืน

Share