แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ญ. ซึ่งเป็นพี่ของโจทก์จำเลยที่ 1 เป็นภริยาของ ญ.เมื่อญ. ตาย ที่ดินพิพาทย่อมตกทอดมาเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทจำนวนหนึ่งในสามทันที โจทก์จึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ญ. โอนที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา 200,000 บาทเศษตีใช้หนี้จำนวน 70,000 บาท ที่ ญ. เป็นหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จัดการมรดกทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งเป็นการเกินขอบอำนาจในฐานะผู้จัดการมรดก โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวได้เพราะเป็นกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินจากบุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1336.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นน้องของนายญาติ เป็นสำราญ เจ้ามรดกและมีสิทธิรับมรดกไม่มีพินัยกรรมคือที่ดินพิพาทร่วมกันจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นภริยาของนายญาติ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายญาติได้โอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ในราคา 70,000 บาท อ้างว่าเพื่อเป็นการชำระหนี้ของกองมรดก ความจริงกองมรดกมีหนี้เพียง4,000 บาท จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตสมคบกันโอนโดยกลฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียหายขอให้สั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท ให้จำเลยที่ 1 แบ่งมรดกใหม่หรือร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายญาติเป็นหนี้จำเลยที่ 270,000 บาทได้มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ทำกิน โดยตกลงกันว่าหากหาเงินมาไถ่ไม่ได้นายญาติจะยอมยกและโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมานายญาติไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้จึงยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2พร้อมกับมอบ น.ส.3 ก. ไว้ด้วย แต่ยังไม่ได้โอนนายญาติก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน ที่ดินพิพาทเป็นมรดกเพียงในนาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทแล้วให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์หนึ่งในสามส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทยังคงเป็นทรัพย์มรดกของนายญาติจึงย่อมตกทอดมาเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทจำนวนหนึ่งในสามส่วนทันทีที่นายญาติเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้นโจทก์จึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทมาก่อนที่จำเลบที่ 1 จะโอนให้จำเลยที่ 2 ที่ดินพิพาทมีราคา 200,000 บาทเศษ ไม่ว่านายญาติจะเป็นหนี้จำเลยที่ 2อยู่ 4,000 บาท หรือ 70,000 บาท แต่การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทซึ่งมีราคาสูงกว่าจำนวนหนี้อยู่มากตีใช้หนี้จำเลยที่ 2 เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จัดการมรดกทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่ง เป็นการเกินขอบอำนาจในฐานะผู้จัดการมรดก โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวได้ เพราะเป็นกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.