แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าว ไว้ในกฎหมายล้มละลายเท่านั้น แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้วแต่คดียัง อยู่ในระหว่างการพิจารณาหรือเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเว้นแต่เจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกิน2 เดือน ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 27 และ 91 เมื่อเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและมิได้อยู่นอกราชอาณาจักร ได้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้เกินกำหนดเวลาตามที่กฎหมายระบุ ไว้ถึง 5 เดือนเศษจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ของ ลูกหนี้ที่ 2 ที่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายนี้นำยึด ก็ เพราะปรากฏว่าโรงงานแห่งนั้นติดการจำนองโดยลูกหนี้ที่ 2 ได้เอาจำนองไว้แก่ธนาคารมาก่อนที่จะถูกยึด เมื่อ เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดโรงงานที่ว่านี้อย่างปลอดจำนองโดยมิได้แจ้งให้ธนาคารผู้รับจำนองทราบ ย่อมเป็นการไม่ชอบ และศาลชั้นต้นคงสั่งเพิกถอนเฉพาะการ ขายทอดตลาดโรงงานดังกล่าว แต่การยึดยังมีผลอยู่ หาถูกเพิกถอนไปแต่อย่างใดไม่ จึงถือไม่ได้ว่า เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้เป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายตามนัยบทบัญญัติมาตรา 115 ที่จะให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 2 เด็ดขาดในหนังสือพิมพ์รายวันและใน ราชกิจจานุเบกษาแล้วเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ก็ต้องผูกพัน ที่จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับ แต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ถ้าให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เกินกำหนดเวลา ดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการขยายกำหนดเวลาตามมาตรา 91 ออกไป อาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่บรรดาเจ้าหนี้อื่น และลูกหนี้ ทั้งไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ทำได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสอง(จำเลยทั้งสอง) เด็ดขาด เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๔ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ ๒ (จำเลยที่ ๒) เด็ดขาดในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับลงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๔ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ ครบกำหนดที่เจ้าหนี้จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๒๗ และ ๙๑ ครั้นวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๕ เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลุกหนี้ที่ ๒ เป็นจำนวนเงิน ๒๘๗,๕๕๐ บาท โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้ที่ ๒
เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ ๒ โต้แย้งว่าเจ้าหนี้รายนี้ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนและเสนอความต่อศาลชั้นต้นว่าควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้เสียทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้รายนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๑๒ เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินของลูกหนี้ที่ ๒ (จำเลยที่ ๒) ตามโฉนดที่ ๔๑๐๒ เนื้อที่ ๖๘๐ ตารางวาในราคา ๑๐๒,๐๐๐ บาท เมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ลูกหนี้ที่ ๒ ไม่ยอมโอนที่ดินให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้จึงเป็นโจทก์ฟ้องลูกหนี้ที่ ๒ต่อศาลชั้นต้น ในที่สุดทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลโดยลูกหนี้ที่ ๒ ยอมโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๑๘, ๔๑๘๓ ซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดที่ ๔๑๐๒ ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้โดยปลอดจำนองภายในกำหนดเวลา ๓ เดือนนับแต่วันทำยอม หากลูกหนี้ที่ ๒ ผิดนัดให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และถ้าลูกหนี้ที่ ๒ ไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ลูกหนี้ที่ ๒ ยอมชำระเงินจำนวน ๒๘๗,๕๕๐ บาทแก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ และศาลได้พิพากษาตามยอม ต่อมาลูกหนี้ที่ ๒ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้จึงนำยึดโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์โดยอ้างว่าปลูกอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๑๘๒,๔๑๘๓ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาด และยังมิได้จ่ายเงินที่ได้รับจากการขายทอดตลาดให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ ต่อมาเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้โอนทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๒ ในคดีดังกล่าวไปไว้ในคดีล้มละลาย เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ตรวจสำนวนจึงได้ทราบว่าโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ของลูกหนี้ที่ ๒ ที่เจ้าหนี้ผู้รับชำระหนี้ได้นำยึดและขายทอดตลาดไปแล้วนั้น ธนาคารได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าโรงงานดังกล่าวอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของลูกหนี้ที่ ๒ ที่ได้เอาจำนองไว้แก่ธนาคาร และการขายทอดตลาดมิได้แจ้งให้ผู้รับจำนองทราบ ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโรงงานดังกล่าวนั้น และมิได้ติดต่อแจ้งให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ทราบ เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้เพิ่งทราบว่าลูกหนี้ที่ ๒ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงยื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้
ปัญหาว่า เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๒ หรือจำเลยที่ ๒ เกินกำหนดเวลา ๒ เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักทรัพย์เด็ดขาดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วเจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในกฎหมายล้มละลายเท่านั้น แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หรือเป็นเจ้าที่ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้วแต่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณา หรือเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา ๒ เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เว้นแต่เจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาอีกได้ไม่เกิน ๒ เดือน ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๒๗ และ ๙๑เมื่อเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและมิได้อยู่นอกราชอาณาจักร ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้เกินกำหนดเวลาตามที่ระบุไว้ถึง ๕ เดือนเศษ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ของลูกหนี้ที่ ๒ ที่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายนี้นำยึดก็เพราะปรากฏว่าโรงงานแห่งนั้นติดภารจำนองโดยลูกหนี้ที่ ๒ ได้เอาจำนองไว้แก่ธนาคารมาก่อนที่จะถูกยึด เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดโรงงานที่ว่านี้อย่างปลอดจำนองโดยมิได้แจ้งให้ธนาคารผู้รับจำนองทราบ ย่อมเป็นการไม่ชอบ และศาลชั้นต้นคงสั่งเพิกถอนเฉพาะการขายทอดตลาดโรงงานดังกล่าว แต่การยึดยังมีผลอยู่หาถูกเพิกถอนไปด้วยแต่อย่างใดไม่ จึงถือไม่ได้ว่าเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้เป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายตามนัยบทบัญญัติมาตรา ๑๑๕ ที่จะให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายตามมาตรา ๙๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ที่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้อ้างถึงการไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ที่ ๒ เป็นเหตุให้ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้ได้ตามกำหนดเวลานั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักทรัพย์ลูกหนี้ที่ ๒ เด็ดขาดในหนังสือพิมพ์รายวันและในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ก็ต้องผูกพันที่จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา ๒ เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ถ้าให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เกินกำหนดเวลาก็เท่ากับเป็นการขยายกำหนดเวลาตามมาตรา ๙๑ ออกไปอาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่บรรดาเจ้าหนี้อื่นและลูกหนี้ ทั้งไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ทำได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๑๒/๒๕๒๔)
พิพากษายืน