คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยินหรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นว่า ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งของศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น ดังนี้ แม้คำเบิกความของ ฉ.และว.เป็นพยานบอกเล่า และแม้ผู้บอกเล่ายังมีตัวอยู่และสามารถนำสืบมาได้ศาลก็ย่อมมีอำนาจรับฟังคำพยานโจทก์ทั้งสองปาก ซึ่งเบิกความประกอบพยานเอกสารดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลด้วยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 82-8575 กรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 3 และนายทวี กิจดำรงชัย เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ มีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 4 ในกิจการบรรทุกทราบ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2525 เวลาประมาณ 1.58 นาฬิกาเจ้าหน้าที่ปิดเปิดเครื่องกั้นถนนทางตัดผ่านระหว่างทางรถไฟกับถนนแจ้งวัฒนะได้ให้สัญญาณเตือนยวดยานในถนนแจ้งวัฒนะเพื่อปิดกั้นถนนจะให้ขบวนรถสินค้าที่ 635 ของโจทก์จากสถานีรถไฟบางเขนผ่านไปสถานีรถไฟดอนเมือง เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ปิดสวิตซ์บังคับคานลงปิดกั้นถนนเรียบร้อยทั้งสองด้าน เจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงไปให้สัญญาณอนุญาตให้ขบวนรถสินค้าแล่นผ่านทางได้ ขบวนรถสินค้าดังกล่าวแล่นห่างถนนแจ้งวัฒนะประมาณ 10 เมตร ทันใดนั้นจำเลยที่ 1ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกทรายคันหมายเลขทะเบียน82-8575 กรุงเทพมหานคร มาตามถนนแจ้งวัฒนะ มุ่งหน้าจะตัดข้ามทางรถไฟไปทางด้านทิศตะวันออก จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ใกล้ถึงบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ไม่หยุดรถตามสัญญาณเครื่องกั้นถนนเหมือนยวดยานอื่น แต่ขับแซงรถคันอื่นที่จอดรออยู่แล้วพุ่งเข้าชนเครื่องกั้นถนนอย่างแรง คานเครื่องกั้นถนนหักกระเด็น รถยนต์บรรทุกพุ่งเข้าไปในทางรถไฟ ขณะนั้นขบวนรถสินค้าดังกล่าวแล่นถึงทางตัดผ่านพอดีหน้ารถจักรดีเซลเลขที่ 4008 ด้านซ้ายปะทะกับหน้ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับอย่างแรง ทำให้รถจักรดีเซลของโจทก์ตกรางและดันรถยนต์ดังกล่าวครูดไปปะทะแผงกั้นถนนชนิดเข็นและตู้สัญญาณเครื่องกั้นถนนของโจทก์เสียหายด้วย นอกจากนี้ทางรถไฟ รถจักรดีเซล รถบรรทุกน้ำมันคัน (บทค.) เลขที่ 430052 ซึ่งพ่วงติดกับรถจักรดีเซลตกราง2 เพลา 4 ล้อชำรุดเสียหาย นายมงคล พวงสงคราม พนักงานรถจักรของโจทก์ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 1 ได้กระโดดหนีไปก่อนรถยนต์จะชนเครื่องกั้นถนน ขบวนรถไฟของโจทก์ไม่สามารถผ่านที่เกิดเหตุ โจทก์ต้องประกาศปิดทางระหว่างสถานรถไฟหลักสี่ – ดอนเมือง ตั้งแต่เวลาประมาณ 2.10 นาฬิกา แล้วทำการยกรถตกราง ซ่อมทางเปิดให้ขบวนรถเดินร่วมกันในทางขึ้นได้ชั่วคราวเมื่อเวลาประมาณ 9 นาฬิกา และซ่อมทางให้ขบวนรถผ่านได้ตามปกติเมื่อเวลาประมาณ 23 นาฬิกา และระหว่างปิดทางโจทก์ต้องให้ขบวนรถจอดส่งผู้โดยสารที่สถานีรถไฟดอนเมือง และจัดรถโดยสารบรรทุกขนถ่ายผู้โดยสารและสิ่งของจากสถานีรถไฟดอนเมืองถึงกรุงเทพมหานคร โจทก์ต้องงดเดินขบวนรถสินค้าและรถโดยสารหลายขบวนโจทก์ได้รับความเสียหายคือ ค่าซ่อมแซมทางเป็นเงิน253,433.86 บาท ค่าซ่อมแซมเครื่องกั้นถนน อุปกรณ์การสื่อสารและซุ้มเครื่องกั้นเป็นเงิน 103,417.50 บาท ค่าจ้างคนเข็นแผงกั้นถนน3 คน ระหว่างทำการซ่อมเครื่องกั้นเป็นเวลา 11 วันครึ่ง เป็นเงิน2,074 บาท ค่าซ่อมรถจักรดีเซล เลขที่ 4008 เป็นเงิน 83,709.80บาท ค่าซ่อมรถบรรทุกน้ำมันคัน (บทค.) 433052 เป็นเงิน656.56 บาท ค่าใช้จ่ายในการยกรถตกราง เป็นเงิน26,926.22 บาท ค่าจัดรถยนต์ขนถ่ายผู้โดยสารจากสถานีรถไฟดอนเมือง-กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 เที่ยว เป็นเงิน 20,000 บาทค่าจัดรถจักรดีเซลเลขที่ 4119 ไปลากจูงรถพ่วงขบวนที่ 635 จากสถานีรถไฟบางเขน-บางซื่อ เป็นเงิน 2,000 บาทค่าจัดเดินรถพิเศษช่วยอันตรายจากสถานีรถไฟบางซื่อ-หลักสี่เป็นเงิน 10,000 บาท ค่าเสียหายจากการงดเดินขบวนรถสินค้าที่ 643, 579, 578, 565 รวมเป็นเงิน 40,000 บาทค่าเสียหายที่ต้องเดินขบวนรถต่าง ๆ และเสียเวลานาน รวม 13 รายการเป็นเงิน 114,216.50 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น656,434.44 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 4 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการบรรทุกขนทราบ จำเลยที่ 3 เป็นผู้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคล โดยใช้รถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 82-8575 เป็นรถบรรทุกขนส่งและเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าวขณะเกิดเหตุซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างกระทำการไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 2 มีส่วนได้เสียกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4จึงเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 656,434.44 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1ถึงแก่ความตายก่อนที่โจทก์ยื่นคำฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างและขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 82-5875 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ประกอบกิจการค้าข้าวไม่ได้ประกอบกิจการในการขนทราบ รถยนต์ดังกล่าวเดิมเป็นของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 4 เช่าซื้อไปก่อนวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่มีส่วนได้เสียในกิจการขนทราบกับจำเลยที่ 1 ทั้งเหตุที่เกิดขึ้นจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อ จำเลยที่ 2ที่ 3 ไม่ต้องรับผิดและค่าเสียหายตามฟ้องสูงกว่าความเป็นจริง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน656,434.44 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 4
โจทก์ จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นเงิน 562,982.47 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน82-8575 กรุงเทพมหานคร ด้วยความประมาทเลินเล่อชนเครื่องกั้นถนนแล้วชนกับขบวนรถสินค้าที่ 635 ของโจทก์ เป็นเหตุให้เครื่องกั้นตู้สัญญาณเครื่องกั้นถนน แผงกั้นถนนชนิดเข็นเสียหายรถจักรดีเซลรถบรรทุกน้ำมันคัน (บทค.) ตกราง และทางรถไฟได้รับความเสียหายโจทก์ต้องปิดกั้นทางรถไฟระหว่างสถานีรถไฟหลักสี่ถึงสถานีรถไฟดอนเมืองเป็นเวลา 21 ชั่วโมง 20 นาที ศาลฎีกาจะวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก่อน ซึ่งมีปัญหาประการแรกว่า จำเลยที่ 4เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากจำเลยที่ 3 หรือไม่ และจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 หรือไม่ จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยที่ 4 ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวจากจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2525 ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.2 และจำเลยที่ 4 ได้ชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ 8,000 บาท รวม 7 เดือนให้จำเลยที่ 3 ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.3 ปัญหาข้อนี้ได้ความว่าจำเลยที่ 4 เคยเป็นพนักงานขับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 มาก่อน ขณะที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าจำเลยที่ 4ทำสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย ล.2 กับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4มีฐานะไม่ดีและไม่มีทรัพย์สินใดอันพึงเป็นหลักประกันหรือให้ความมั่นใจแก่จำเลยที่ 3 ได้เลยว่า หากจำเลยที่ 4 ผิดสัญญาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 3 จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายกันได้เพียงใดหรือไม่และไม่สนใจที่จะให้มีผู้ค้ำประกันความเสียหายที่จะพึงมีขึ้น เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ได้มาให้การต่อร้อยตำรวจโทรักษ์ แพเสือ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองเองโดยร้อยตำรวจโทรักษ์ ไม่ได้ออกหมายเรียกซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 3 ยังทราบว่าจำเลยที่ 4 อยู่ที่ใด แต่จำเลยที่ 3 ก็หาได้นำจำเลยที่ 4 มาเบิกความไม่ การทำสัญญาเช่าซื้อรายนี้จำเลยที่ 3 เบิกความว่าได้ทำไว้ 2 ฉบับ โดยมอบให้จำเลยที่ 4เก็บไว้ 1 ฉบับ และจำเลยที่ 3 เก็บไว้ 1 ฉบับ เมื่อนายวิพัฒน์กระจ่างพจน์ อาณาบาลผู้ช่วยเขต 1 ของโจทก์ได้สอบถามนายสำเนียง เอนก พ่อตาของจำเลยที่ 4 ตามบันทึกในแบบคำให้การของการรถไฟแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย จ.9 นายสำเนียงให้การว่า จำเลยที่ 4 เคยเล่าให้นายสำเนียงฟังว่า จำเลยที่ 4มีหน้าที่ขับรถยนต์อีกคันหนึ่ง ส่วนคันที่ชนกับรถไฟจำเลยที่ 1เป็นคนขับและทางจำเลยที่ 2 ก็ขอร้องให้จำเลยที่ 4 รับว่าซื้อรถยนต์คันที่ชนกับรถไฟไป แต่ความจริงจำเลยที่ 4 ไม่ได้ซื้อแต่อย่างใด และจนบัดนี้จำเลยที่ 4 ก็ไม่ได้ขับรถให้จำเลยที่ 2แล้ว ดังนี้พยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 ตามที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันที่เกิดเหตุนี้จากจำเลยที่ 3 สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 หรือไม่ปรากฏว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ได้หลบหนีไป ในรถยนต์บรรทุกคงมีนายแขม โปร่งจิตร คนประจำรถยนต์บรรทุกได้รับบาดเจ็บอยู่ผู้เดียว และต่อมาได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชตามภาพถ่ายรายงานตรวจโรคของโรงพยาบาลดังกล่าวเอกสารหมาย จ.26 เดิมร้อยตำรวจตรีวีรเดชแสงสว่าง รองสารวัตรสืบสวนสอบสวนแผนก 1 กองกำกับการ 1กองบังคับการตำรวจรถไฟ (ยศและตำแหน่งในขณะเกิดเหตุ)ได้มาตรวจที่เกิดเหตุและสอบสวนนายแขมไว้ แต่เนื่องจากไม่อยู่ในเขตสอบสวนร้อยตำรวจตรีวีรเดชจึงไม่ได้ทำบันทึก แต่นายเฉลิม สุคนธพล อาณาบาลเขต 1 ได้บันทึกถ้อยคำของร้อยตำรวจตรีวีรเดชไว้ตามแบบคำให้การของการรถไฟแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.19 ว่า ร้อยตำรวจตรีวีรเดชได้พบกับนายแขมและนายแขม บอกว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2และในวันเกิดเหตุได้บรรทุกทรายมาจากอำเภอกำแพงแสนจะไปที่ห้างจำเลยที่ 2 ถ้อยคำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ร้อยตำรวจตรีวีรเดชได้สอบถามนายแขมในเวลากระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุโดยไม่ปรากฏว่ามีการชักนำหรือเสี้ยมสอนจากบุคคลอื่น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ต่อไปว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และกระทำการละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างจริง ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3ฎีกาว่า คำเลิกความของนายเฉลิมกับนายวิพัฒน์เป็นพยานบอกเล่าทั้ง ๆ ที่ผู้บอกเล่ายังมีตัวอยู่และสามารถนำมาสืบได้จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้นเห็นว่าแม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 ได้บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นต่อไปว่า ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งของศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นศาลย่อมมีอำนาจรับฟังคำพยานโจทก์ทั้งสองปากซึ่งเบิกความประกอบพยานเอกสารดังกล่าวได้เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 2และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดในค่าเสียหายต่อโจทก์”
พิพากษายืน

Share