คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4634/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะจับกุมเรือยนต์ของกลางมีแผ่นไม้ขนาดกว้างยาว 1 เมตรสำหรับใช้วางตะแกรงคราดหอยต่อออกจากท้ายเรือ ซึ่งเรือจับปลาหมึกไม่ต้องมีไม้แผ่นนี้ และตอนเข้าจับกุมคนในเรือดังกล่าวรู้ตัวก่อนได้ตัดเครื่องมือคราดหอยทิ้งเครื่องมือคราดหอยมีลักษณะต่างจากเครื่องมือจับปลาหมึก ซึ่งหากผู้ร้องไม่ประสงค์ให้ ว. นำเรือไปกระทำความผิดโดยคราดหอยในเขตหวงห้ามจริง ผู้ร้องน่าจะไปตรวจในเรือ และเมื่อพบเครื่องมือคราดหอยก็สามารถนำออกไปจากเรือเสียได้การที่ผู้ร้องไม่กระทำดังกล่าว แต่อ้างว่าได้ห้าม ว. มิให้กระทำผิดกฎหมายเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยคดีฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดจึงร้องขอคืนของกลางมิได้

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตาม พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 และให้ริบเรือยนต์ “เลิศอำไพ” ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของเรือยนต์ของกลาง และผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำของจำเลย ขอให้คืนเรือยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เรือยนต์ของกลางมิใช่ของผู้ร้องมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องนำสืบว่าเรือยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องโดยมีใบอนุญาตใช้เรือเอกสารหมาย ร.1 ประกอบ ปรากฎข้อความในใบอนุญาตใช้เรือดังกล่าวว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของเรือประมงชื่อ ส.เพ็ชรอำไพ ผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อประมาณ 5 – 6 ปี มานี้เรือดังกล่าวชำรุดใช้การไม่ได้ จึงขึ้นคานไว้ ในเดือนมกราคม 2531จึงเริ่มซ่อมแซมดัดแปลงให้มีขนาดกว้างยาวขึ้นกว่าเดิม และเปลี่ยนเครื่องยนต์ไม่ การซ่อมแซมดัดแปลงแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม2531 ผู้ร้องพ่นสีเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษไว้ที่ท้ายเรือว่าปรานบุรี และเปลี่ยนชื่อเรือเป็นเลิศอำไพ แต่ยังมิได้เปลี่ยนชื่อเรือในทะเบียนนายวัลลภก็นำเรือไปทดลองวิ่ง แล้วกระทำผิดกฎหมายจนถูกจับกุมเสียก่อน นายบุญชง สังขลาโพธิ์ พยานผู้ร้องซึ่งมีอาชีพทำการประมงอยู่หมู่บ้านเดียวกับผู้ร้องก็เบิกความสนับสนุนว่า ผู้ร้องมีเรืออยู่ลำเดียวได้ขึ้นคานซ่อมแซมใหม่ เพิ่งนำออกวิ่งครั้งแรกในวันที่ 7พฤษภาคม 2531 คำเบิกความของผู้รองจึงน่ารับฟัง โจทก์นำสืบโดยนายเมธา พุ่มเพรา ประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้จับกุมเรือยนต์ของกลางเบิกความว่า สีของเรือยนต์ของกลางมีลักษณะเพิ่งทาใหม่ ๆไม่เกิน 1 สัปดาห์ ที่ท้ายเรือมีตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษว่าปราณบุรี และเบิกความตอบคำถามค้านของทนายผู้ร้องว่าเรือยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง คนที่ดัดแปลงเรือใหม่มักจะดัดแปลงเสร็จแล้วจึงไม่ขอแก้ไขทางทะเบียน ร้อยตำรวจโทสีธง ชินราชเจ้าพนักงานตำรวจผู้ยึดเรือยนต์ของกลางก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายผู้ร้องว่าสอบถามชาวบ้านและได้ความว่าเรือยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง คำเบิกความของพยานโจทก์จึงเจือสมคำพยานของผู้ร้องและเชื่อว่าเรือของกลางเป็นของผู้ร้อง
ปัญหาว่า ผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดหรือไม่นั้นผู้ร้องเบิกความว่าเรือยนต์ของผู้ร้องไม่มีเครื่องคราดหอย ผู้ร้องได้เตือนนายวัลลภขณะนำเรือไปเติมน้ำมันที่ปั๊มของนายสว่างก่อนออกไปทดลองจับปลาหมึกว่าไม่ให้นำเรือไปกระทำผิดกฎหมายนายเมธา พยานโจทก์เบิกความว่า ขณะจับกุมเรือยนต์ของกลางเห็นแผ่นไม้ขนาดกว้างยาว 1 เมตร สำหรับใช้วางตะแกรงคราดหอยต่อออกจากท้ายเรือ ซึ่งเรือจังปลาหมึกไม่ต้องมีไม้แผ่นนี้ และตอนเข้าจับกุมคนในเรือดังกล่าวรู้ตัวก่อนได้ตัดเครื่องมือคราดหอยทิ้ง เห็นได้ว่าเครื่องมือคราดหอยมีลักษณะต่างจากเครื่องมือจับปลาหมึกซึ่งหากผู้ร้องไม่ประสงค์ให้นายวัลลภนำเรือไปกระทำความผิดโดยตราดหอยในเขตหวงห้ามจริงแล้ว ผู้ร้องก็น่าจะไปตรวจในเรือ และเมื่อพบเครื่องมือคราดหอยก็สามารถนำออกไปจากเรือเสียได้ การที่ผู้ร้องไม่กระทำดังกล่าว แต่อ้างว่าได้ห้ามนายวัลลภมิให้กระทำผิดกฎหมาย เช่นนี้จึงเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย ร้อยตำรวจโทวสันต์ ขาวสง่าพนักงานสอบสวนก็เบิกความความว่า ตามคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสี่ปรากฎว่าบางคนทำงานเป็นลูกจ้างนายวัลลภทำการคราดหอยลายมานานประมาณ 2 – 3 เดือนแล้ว ซึ่งการกระทำนี้เชื่อว่าผู้ร้องจะต้องรู้เห็น ดังนั้น ที่ผู้ร้องอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดจึงไม่น่าเชื่อ คดีฟังได้ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดจะร้องขอคืนของกลางมิได้”
พิพากษายืน

Share