คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4502/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำรถยนต์ของโจทก์เข้าร่วมกิจการขนส่งบรรทุกสินค้าอยู่กับบริษัท ป. จำกัด โดยได้รับค่าจ้างเป็นเที่ยว และโจทก์จะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่จะถึงเกิดขึ้นแก่สินค้าที่บรรทุกทุกกรณีโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องผู้ที่กระทำละเมิดเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ที่บรรทุกสินค้าในนามของบริษัท ป. จำกัด ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อคันหมายเลขทะเบียน 80-3921 นครสวรรค์ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อคันหมายเลขทะเบียน 80-3104 กำแพงเพชร ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถของจำเลยที่ 2 คันดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2525 เวลาประมาณ3 นาฬิกา นายทวนลูกจ้างผู้ขับรถของโจทก์ขับขี่รถบรรทุกสินค้าของลูกค้าโจทก์จากกรุงเทพมหานครไปตามถนนสายเอเซีย มุ่งหน้าไปจังหวัดนครสวรรค์เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ 163-164 หมู่ที่ 1 ตำบลโพนางดำออก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท จำเลยที่ 1ขับขี่รถของจำเลยที่ 2 สวนทางมาจากนครสวรรค์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานครด้วยความประมาท โดยขับขี่รถด้วยความเร็วสูงแซงรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-1620 พิจิตร เป็นเหตุให้รถของโจทก์ต้องหลบแล้วเสียหลักและถูกรถคัดที่จำเลยที่ 1 ขับขี่พุ่งเข้าชนทำให้รถของโจทก์พลิกคว่ำกลางถนน การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1ทำให้สินค้าที่โจทก์รับจ้างบรรทุกจากลูกค้าสูญหาย รวมราคาทั้งสิ้น96,992 บาท โจทก์ได้ใช้ราคาสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิจากลูกค้า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 96,992 บาท แก่โจทก์ กับดอกเบี้ยก่อนฟ้องเป็นเงิน 3,031 บาท รวมเป็นเงิน 100,023 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 96,992 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถบรรทุกค้นหมายเลขทะเบียน 80-3921 นครสวรรค์ รถคันดังกล่าวบรรทุกเฉพาะถังแก๊สอย่างเดียว เหตุที่รถชนกันมิใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เกิดจากความประมาทหรือมีส่วนประมาทของพวกโจทก์ด้วยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หากแต่ขับขี่รถไปในกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ โจทก์มิได้เสียหายมากมายดังฟ้อง จำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันของจำเลยที่ 2ไว้ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท แต่ต้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2ต้องรับผิดชอบ เมื่อจำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์ทั้งมิใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน 4,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมกับกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 72,632 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่7 พฤศจิกายน 2525 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ4,500 บาท และค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดีคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินมา 100 บาท ให้แก่ไป
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 3 ฎีกาในเรื่องอำนาจฟ้องว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับจ้างบรรทุกสินค้าไปส่งลูกค้าของโจทก์ที่จังหวัดนครสวรรค์ แต่ทางพิจารณากลับปรากฎว่าบริษัทปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด เป็นผู้รับจ้างขนส่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง สำหรับประเด็นข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ให้นายทวนลูกจ้างของโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์รับจ้างบรรทุกสินค้าของลูกจ้างโจทก์ดังปรากฎตามสำเนาใบกำกับสินค้าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ซึ่งโจทก์ขอถือเอาเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ด้วย ปรากฎตามสำเนาใบกำกับสินค้าดังกล่าวซึ่งระบุชื่อบริษัทปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด ไว้ที่หัวกระดาษอย่างชัดแจ้ง และท้ายของใบกำกับสินค้าดังกล่าวมีข้อความระบุได้ด้วยว่าตามรายการสินค้าที่ระบุข้างบนนี้หากมีการสูญหายหรือเสียหายเกิดขึ้น ทางพนักงานขับรถหรือเจ้าของรถต้องรับผิดชอบจึงเข้าใจว่า โจทก์กับบริษัทดังกล่าวต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งโจทก์ย่อมจะนำสืบรายละเอียดได้ในชั้นพิจารณา กรณีไม่พอถือว่าโจทก์นำสืบผิดแผกแตกต่างไปจากคำฟ้อง และในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า โจทก์นำรถยนต์ของโจทก์เข้าร่วมกิจการกับบริษัท ปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด โดยได้รับค่าจ้างเป็นเที่ยวและต้องรับผิดชอบความเสียหายที่จะถึงเกิดขึ้นทุกกรณี จำเลยที่ 3 ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงต้องฟังข้อเท็จจริงดังที่โจทก์นำสืบ ซึ่งไม่อาจฟังว่าบริษัท ปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด เป็นผู้รับจ้างขนส่งแต่ผู้เดียว ดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกา เมื่อได้ความว่าโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์เข้าร่วมกิจการอยู่กับบริษัทปากน้ำโพป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด โดยได้รับค่าจ้างเป็นเที่ยว และโจทก์จะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่จะพึงเกิดขึ้นทุกกรณี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องผู้ที่กระทำละเมิดเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ที่บรรทุกสินค้าในนามของบริษัท ปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด ได้ สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องความเสียหายนั้น โจทก์มีนายประทวนหรือทวน ด่วนชะแอม ลูกจ้างขับรถยนต์คันที่เกิดเหตุของโจทก์เบิกความว่ารถของโจทก์บรรทุกสินค้าหลายรายการตามใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวปรากฎว่ามีเครื่องรับโทรทัศน์สี ลูกอมฮอลล์ และแก๊ส สินค้าตามที่โจทก์ฟ้องอยู่ด้วย และร้อยตำรวจตรีพนม ขวัญอ่อน พนักงานสอบสวนก็เบิกความสนับสนุนว่า พยานได้รับแจ้งจากโจทก์ว่า รถของโจทก์บรรทุกถังแก๊ส เครื่องรับโทรทัศน์สี และของเบ็ดเตล็ดอีกหลายอย่างฝ่ายจำเลยที่ 3 คงมีแต่จำเลยที่ 1 เบิกความว่า รถของโจทก์บรรทุกถังแก๊สมาเต็มทั้งคัน ไม่ได้บรรทุกเครื่องรับโทรทัศน์สีมาด้วยเหตุที่รู้เพราะไม่ได้มีผ้าใบปิดไว้ที่กระบะรถ และนายวัลลภ เศวตคาม พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3เบิกความว่า พยานไปถึงที่เกิดเหตุเมื่อถังแก๊สของรถคู่กรณีได้ถูกขนถ่ายไว้ในรถบรรทุกอีกคันหนึ่งหมดแล้ว และเท่าที่พยานตรวจดูปรากฎว่าบรรทุกถังแก๊สอย่างเดียวทั้งหมด ไม่มีที่ว่างบรรจุสินค้าประเภทอื่นอีกเลยเพราะรถที่มาขนถ่ายก็เป็นรถขนาดเดียวกันคนที่เกิดเหตุซึ่งคำเบิกความของพยานจำเลยที่ 3 ทั้งสองปากนี้เป็นไปในเชิงสันนิษฐานเท่านั้น พยานไม่ได้เห็นด้วยตนเองว่ารถของโจทก์ไม่ได้บรรทุกสินค้าตามฟ้อง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าน่าเชื่อว่ารถของโจทก์ได้บรรทุกสินค้าตามฟ้องจริง ได้ความจากคำเบิกความของ นายประทวน ว่า รถของโจทก์ถูกชนพลิกคว่ำอยู่ข้างทางคนขับรถที่ชนขับรถหลบหนีนายประทวนจึงทิ้งรถและสินค้าไว้ในรถย้อนกลับไปแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจทางหลวงแล้วเจ้าพนักงานตำรวจนำขึ้นรถติดตามจับกุมคนที่ขับรถบรรทุกสิบล้อ และโจทก์เบิกความว่าขณะโจทก์ไปถึงที่เกิดเหตุเห็นสินค้าตามเอกสารหมาย จ.2 ตกไปอยู่ในน้ำข้างถนน คงมีแต่ถังแก๊สบางส่วนอยู่บนรถ และมีชาวบ้านอยู่ในสถานที่เกิดเหตุมากและนายประทวนเบิกความว่า ทรัพย์สินที่หายไปนี้สูญหายเนื่องจากมีชาวบ้านเข้ามาลักไปหลังจากรถคว่ำ เข้าใจว่าหายไประหว่างที่พยานเดินทางติดตามรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับฝ่ายจำเลยที่ 3 ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงน่าเชื่อว่าเมื่อรถของโจทก์ถูกชนพลิกคว่ำแล้วสินค้าที่บรรทุกมาก็ตกหล่นจากรถคนร้ายถือโอกาสในขณะที่เป็นเวลากลางคืนและไม่มีคนอยู่เฝ้าลักเอาสินค้าดังที่โจทก์ระบุในฟ้องไป สำหรับราคาสินค้าที่สูญหายไปนั้น ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์และนายพันธศักดิ์ สายเสมา ลูกจ้างของบริษัทปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด ว่า โจทก์ได้ซื้อเครื่องรับโทรทัศน์สียี่ห้อเนชั่นแนล ขนาด 14 นิ้ว จำนวน6 เครื่อง จากร้านเสียงสวรรค์วิทยุ ในจังหวัดนครสวรรค์ เครื่องละ11,000 บาท รวมเป็นเงิน 66,000 บาท ตามบิลเงินสดเอกสารหมายจ.4 ซึ่งนายสมพล เฟื่องฟูวงษ์รัตน์ เจ้าของร้านก็มาเบิกความรับรองเครื่องรับโทรทัศน์สี 6 เครื่อง โจทก์นำไปชดใช้ให้ร้านไขแสง และร้านเสียงทองวิทยุ ร้านละ 3 เครื่อง โจทก์ซื้อลูกอมฮอลล์ 22 ถังจากร้านนครสวรรค์ ณะรงค์ภัณฑ์ ในจังหวัดนครสวรรค์ ลังละ 1,016 บาทรวมเป็นเงิน 22,352 บาท นำไปชดใช้ให้แก่ร้านสวัสดิ์ฟาร์มาซีร้านโอลัน ร้านวิบูลย์เภสัช และ ร้านนานาภัณฑ์ ส่วนแก๊สนั้นโจทก์ว่า หาซื้อถังแก๊สไม่ได้ โจทก์จึงชำระให้เป็นเงินโดยชำระให้แก่ร้านกัลปพฤกษ์ ฝ่ายจำเลยที่ 3 ไม่ได้นำสืบคัดค้าน จึงน่าเชื่อว่าโจทก์ได้ซื้อสินค้าและใช้เงินให้แก่ร้านค้าไปดังที่โจทก์ฟ้องจริงฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์มิได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้”

Share