แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องสรุปใจความได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตอาหารประเภทเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดแห้งที่ต้องละลายก่อนบริโภคบรรจุซองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นอาหารควบคุมเฉพาะตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 65(พ.ศ. 2525) ที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของเครื่องดื่มเกลือแร่ 1 ลิตร ต้องมีปริมาณโซเดียม40มิลลิอิควิวาเลนท์ แต่เครื่องดื่มเกลือแร่ที่จำเลยทั้งสองผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายมีปริมาณโซเดียมมากถึง115 มิลลิอิควิวาเลนท์ ต่อเครื่องดื่มเกลือแร่ 1 ลิตร มีปริมาณโซเดียมเกินกว่าร้อยละ 187.5 จากเกณฑ์สูงสุดตามกฎหมาย จึงเป็นอาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ถึงขนาดส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหาร มีปริมาณเกินกว่าร้อยละ 30 จากเกณฑ์สูงสุดและแตกต่างจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จนทำให้เกิดโทษหรืออันตรายแก่ร่างกายผู้บริโภค อันเป็นอาหารปลอมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำ ข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่าง ๆ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้มิได้บรรยายว่าเมื่อบริโภคโซเดียมเข้าสู่ร่างกายมากตามฟ้องแล้วจะทำให้ผู้บริโภคได้รับโทษหรืออันตรายอย่างไรก็เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณาหากจำเลยให้การปฏิเสธ.
เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์ จำเลยทั้งสองจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าโซเดียมจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องไม่ทำให้เกิดโทษต่อร่างกายหรือไม่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งมิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติอาหารพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 5, 6(1) (2) (10), 25(2), 27(5), 59ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 65 (พ.ศ. 2525) ลงวันที่ 11มกราคม 2525 เรื่องเครื่องดื่มเกลือแร่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 5, 6(1) (2) (10), 25(2), 27(5),59 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 65 (พ.ศ. 2525) ลงวันที่ 11มกราคม 2525 เรื่องเครื่องดื่มเกลือแร่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83จำเลยที่ 1 ให้ปรับ 50,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี ปรับ 50,000บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ปรับจำเลยที่ 1 จำนวนเงิน 25,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ปรับ 25,000 บาท จำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่ามิได้เจตนากระทำผิดนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นทั้งขัดกับคำให้การรับสารภาพ จึงไม่รับวินิจฉัย และศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยทั้งสองเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วไม่มีเหตุให้ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยทั้งสองฎีกาข้อ 2.1 ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดตามมาตรา 25(2), 27(5) และ59 แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา เพราะโซเดียม (เกลือแกง) จำนวน 115 มิลลิอิควิวาเลนท์ ไม่ทำให้เกิดโทษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายปรากฎตามความเห็นของแพทย์ เอกสารท้ายฎีกา ผงเกลือแร่ที่จำเลยทั้งสองผลิตจึงไม่เป็นอาหารปลอมการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่ครบองค์ประกอบของความผิดฐานผลิตอาหารปลอมตามมาตรา 27 (5) พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตอาหารประเภทเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดแห้งที่ต้องละลายก่อนบริโภค ซึ่งจะต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐานของเครื่องดื่มเกลือแร่ 1 ลิตร ต้องมีปริมาณโซเดียม 40มิลลิอิควิวาเลนท์ แต่เครื่องดื่มเกลือแร่ที่จำเลยผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายมีปริมาณโซเดียมมากถึง 115 มิลลิอิควิวาเลนท์ ต่อเครื่องดื่มเกลือแร่ 1 ลิตร จึงมีปริมาณโซเดียมเกินกว่าร้อยละ 187.5 จากเกณฑ์สูงสุดตามกฎหมาย จึงเป็นอาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ถึงขนาดส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหารมีปริมาณเกินกว่าร้อยละ 30 จากเกณฑ์สูงสุด และแตกต่างจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จนทำให้เกิดโทษหรืออันตรายแก่ร่างกายผู้บริโภคอันเป็นอาหารปลอม ดังนี้เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์ จำเลยทั้งสองจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า โซเดียมจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องไม่ทำให้เกิดโทษต่อร่างกายหรือไม่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งมิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้มาเป็นการมิชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อ 2.2 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบของความผิดและไม่แสดงชัดแจ้งว่าโซเดียมเป็นสารที่เป็นพิษอย่างไร หากบริโภคแล้วจะได้รับโทษหรืออันตรายอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) นั้น พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์มุ่งประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานผลิตอาหารปลอมซึ่งความหมายของคำว่า “อาหารปลอม” ตามมาตรา 27 (5) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 บัญญัติว่า “อาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 6(2)หรือ (3) ถึงขนาดจากผลวิเคราะห์ปรากฎว่าส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหารขาดหรือเกินร้อยละสามสิบจากเกณฑ์ต่ำสุดหรือสูงสุด หรือแตกต่างจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จนทำให้เกิดโทษหรืออันตราย” โจทก์บรรยายฟ้องสรุปใจความได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตอาหารประเภทเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดแห้งที่ต้องละลายก่อนบริโภคบรรจุซองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นอาหารควบคุมเฉพาะตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 65 (พ.ศ. 2525) ที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของเครื่องดื่มเกลือแร่ 1 ลิตร ต้องมีปริมาณโซเดียม 40 มิลลิอิควิวาเลนท์ แต่เครื่องดื่มเกลือแร่ที่จำเลยทั้งสองผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายมีปริมาณโซเดียมมากถึง 115 มิลลิอิควิวาเลนท์ ต่อเครื่องดื่มเกลือแร่ 1 ลิตรจึงมีปริมาณโซเดียมเกินกว่าร้อยละ 187.5 จากเกณฑ์สูงสุดตามกฎหมายจึงเป็นอาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ถึงขนาดส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหารมีปริมาณเกินกว่าร้อยละ 30 จากเกณฑ์สูงสุดและแตกต่างจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จนทำให้เกิดโทษหรืออันตรายแก่ร่างกายผู้บริโภคอันเป็นอาหารปลอมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่าง ๆ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่บรรยายว่าเมื่อบริโภคโซเดียมเข้าสู่ร่างกายมากตามฟ้องแล้วจะทำให้ผู้บริโภคได้รับโทษหรืออันตรายอย่างไรนั้น เห็นว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา หากจำเลยให้การปฏิเสธ…”
พิพากษายืน