แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้นำสำนวนคดีอื่นซึ่งได้อ้างเป็นพยานไว้แล้วมาผูกติดกับคดีนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า “นำสำนวนคดีดังกล่าวมาผูกติดกับคดีนี้” แต่คู่ความมิได้ยอมรับกันว่าให้ศาลพิพากษาคดีโดยถือตามผลของคำพิพากษาในคดีดังกล่าว คำร้องของโจทก์จึงมีความหมายเพียงว่า โจทก์ขออ้างถ้อยคำสำนวนตามที่ระบุในคำร้องในฐานะที่เป็นพยานเอกสารในคดีอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อศาลแรงงานกลางพิเคราะห์พยานบุคคลของโจทก์จำเลยประกอบพยานเอกสารที่โจทก์อ้างแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยประสบการขาดทุน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพื่อลดค่าใช้จ่ายอุทธรณ์ของโจทก์ที่โต้เถียงว่า จำเลยมิได้ประสบการขาดทุนยังสามารถจ้าง โจทก์ทั้งสี่ได้ จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 ไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดว่าศาลในส่วนแพ่งที่พิพากษาในคดีหลังจำต้องถือตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่ได้พิพากษาไปก่อนแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่โดยไม่เป็นธรรมขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่จะต้องขาดรายได้นับจากวันเลิกจ้างจนถึงวันเกษียณอายุ ค่าเสียหายเนื่องจากการที่โจทก์ทั้งสี่ต้องเสียโอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานค่าเสียหายเกี่ยวกับเงินโบนัสและเงินสะสม
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่เพื่อลดค่าใช้จ่ายอันเป็นการแก้ปัญหาให้บริษัทจำเลยอยู่ต่อไป หากจำเลยไม่แก้ปัญหาดังกล่าว จำเลยก็อาจต้องปิดกิจการไปแล้ว การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่มิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายตามฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์อย่างยืดยาวและวกวนพอจับใจความได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ได้อ้างถ้อยคำสำนวนและสรรพเอกสารทั้งหลายในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 5820-5823/2531 ของศาลแรงงานกลางเป็นพยาน ซึ่งศาลได้สั่งให้นำมาผูกติดกับคดีนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาแล้ว ในคดีดังกล่าวซึ่งถึงที่สุดแล้วปรากฏว่าโจทก์ที่ 1ที่ 2 ที่ 3 และ 18-27 ในสำนวนคดีเหล่านั้น และโจทก์ทั้งสี่ในคดีนี้เป็นลูกจ้างของจำเลยด้วยกัน ข้อเท็จจริงจึงสามารถดูได้จากสำนวนดังกล่าว แต่ศาลมิได้หยิบยกถ้อยคำสำนวนคำพยานในสำนวนดังกล่าวขึ้นพิจารณาประกอบเลย กลับพิพากษาว่า ฝ่ายโจทก์มิได้สืบหักล้างถึงภาวะการประสบการขาดทุน พยานโจทก์เองกลับเบิกความเสริมพยานจำเลยในข้อที่ว่า จำเลยประสบปัญหาขาดทุน การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ของจำเลย จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีสาเหตุในการเลิกจ้างมิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาศาลแรงงานกลางไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะโจทก์ได้นำสืบหักล้างถึงภาวะการประสบการขาดทุนของจำเลยแล้ว โดยโจทก์นำสืบให้เห็นว่าในปี 2530 จำเลยมีกำไร 26.1 ล้านบาท และมีกำไรสะสม 178ล้านบาท ปี 2531 มีกำไร 5.3 ล้านบาท แสดงว่าฐานะการเงินของจำเลยมีกำไร จำเลยยังสามารถจ้างโจทก์ต่อไปได้ ศาลฎีกาพิเคราะห์อุทธรณ์ของโจทก์แล้วเห็นว่า การที่ศาลแรงงานกลางนำสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 5820-5823/2531 มาผูกรวมไว้ในคดีนี้ก็เนื่องจากโจทก์ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มีนาคม 2532 ต่อศาล ความว่า โจทก์ได้อ้างสำนวนและบรรดาเอกสารในสำนวนดังกล่าวเป็นพยาน จึงขอให้นำสำนวนดังกล่าวมาผูกติดกับคดีนี้ ซึ่งศาลแรงงานกลางก็สั่งเพียงสั้น ๆ ว่า”นำสำนวนคดีดังกล่าวมาผูกติดกับคดีนี้” คู่ความหาได้ยอมรับกันไม่ว่าให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีนี้โดยถือตามผลของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวตามคำร้องของโจทก์มีความหมายเพียงว่า โจทก์ขออ้างถ้อยคำสำนวนตามที่ระบุไว้ในคำร้องในฐานะที่เป็นพยานเอกสารในคดีอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเมื่อศาลแรงงานกลางพิเคราะห์พยานบุคคลของโจทก์จำเลยประกอบพยานเอกสารที่โจทก์อ้างแล้วได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยประสบการขาดทุน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพื่อลดค่าใช้จ่ายอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ที่โต้เถียงว่า จำเลยมิได้ประสบการขาดทุนยังสามารถจ้างโจทก์ทั้งสี่ได้ จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และในกรณีเช่นนี้ก็มิได้มีบทกฎหมายใดกำหนดว่า ศาลในส่วนแพ่งที่พิพากษาในคดีหลังจำต้องถือตามคำพิพากษาในคดีก่อนไม่ คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5820-5823/2531 จึงไม่ผูกมัดคดีนี้แต่ประการใด โจทก์อุทธรณ์อีกประการหนึ่งว่า ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.1 หมวด 9 กำหนดว่า จำเลยอาจนำมาตรการอาสาสมัครลาออกจากงานมาใช้ ซึ่งปรากฏในสำนวนคดีแพ่งที่โจทก์อ้างว่า ในปี 2528, 2529 จำเลยได้นำมาตรการอาสาสมัครลาออกจากงานมาใช้ถึง 3 ครั้ง ดังนั้นในปี 2530, 2531 ถ้าจำเลยประสงค์จะเลิกจ้างก็ควรนำมาตรการอาสาสมัครลาออกจากงานมาใช้แต่จำเลยไม่กระทำ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าปัญหาในข้ออุทธรณ์ของโจทก์นี้ เป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลาง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน”
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์