แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยในมูลหนี้ละเมิดโดยอาศัยอำนาจกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาท ไม่ได้ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่า แม้คำฟ้องระบุว่าเดิมจำเลยเป็นผู้เช่าบ้านพิพาทมาก่อน แต่สัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว ก็เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในบ้านพิพาทอีกต่อไปเท่านั้น การที่จำเลยคงอยู่ในบ้านพิพาทเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
แม้สำเนาโฉนดเอกสารหมาย จ.1 เป็นสำเนาเอกสารแต่ต้นฉบับดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของทางราชการ ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 123 วรรคสอง
เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด ผู้ให้เช่าไม่ยอมต่อสัญญาให้โดยบอกว่าจะขายหรือขายที่ดินและบ้านพิพาทแล้ว ต่อมาในระยะต่อเนื่องกันผู้ซื้อไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในบ้านที่พิพาทได้ฟ้องขับไล่จำเลยแม้จำเลยจะอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาท ต่อมาหลังจากครบกำหนดสัญญาแล้วก็ถือไม่ได้ว่าได้ทำสัญญาใหม่โดยไม่มีกำหนดเวลา เพราะผู้ให้เช่าได้ทักท้วงแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 570 สัญญาเช่าระงับ โจทก์ผู้รับโอนบ้านและที่ดินพิพาทไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาเช่าอีก
พยานจำเลยที่จำเลยขอสืบเป็นพยานบอกเล่าและศาลให้โอกาสแก่จำเลยพอสมควรแล้ว จำเลยก็แถลงรับว่าหากไม่ได้สืบพยานไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้ถือว่าไม่ติดใจสืบ ทั้งโจทก์แถลงคัดค้านว่าจำเลยประวิงคดี จึงมีเหตุสมควรจะงดสืบพยานจำเลยต่อไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิมใช้บังคับไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยอยู่ในบ้านพิพาทตามสัญญาเช่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทและส่งมอบบ้านดังกล่าวให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งค่าเสียหายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในมูลหนี้ละเมิดโดยอาศัยอำนาจกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาท ไม่ได้ฟ้องให้บังคับตามสัญญาเช่าจึงไม่ต้องบรรยายฟ้องเกี่ยวกับรายละเอียดตามสัญญาเช่าหรืออ้างสัญญาเช่า แม้คำฟ้องจะระบุว่า เดิมจำเลยเป็นผู้เช่าบ้านพิพาทมาก่อน แต่สัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว ก็เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในบ้านพิพาทอีกต่อไปเท่านั้น การที่จำเลยคงอยู่ในบ้านพิพาทเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง
ปัญหาข้อที่สองว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่… เห็นว่า การซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทได้มีการตรวจสอบและบันทึกถ้อยคำของโจทก์ไว้ตามบันทึกถ้อยคำระบุว่าโจทก์เกิดที่กรุงเทพมหานคร เคยเป็นทหารเกณฑ์มาแล้ว และได้มอบหลักฐานหลายอย่างให้ตรวจสอบเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทย แม้เอกสารหมาย จ.๑ เป็นสำเนาเอกสาร แต่ต้นฉบับดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของทางราชการ ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๓ วรรคสอง การที่นายกอบเกียรติพยานโจทก์ไม่รู้เห็นในการทำสัญญาซื้อขายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แต่พยานมีหน้าที่ควบคุมการจดทะเบียนและนิติกรรมนั้น ถือได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องดังกล่าวดีศาลรับฟังเพื่อประกอบพยานเอกสารและพยานบุคคลอื่นได้ ข้อที่จำเลยอ้างว่า โจทก์กับนายภักดีแกล้งทำสัญญาซื้อขายโอนที่ดินและบ้านพิพาทกันหลอก ๆ ไม่มีเจตนาซื้อขายจริงก็เป็นข้ออ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนฟังไม่ได้ดังที่อ้าง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาข้อที่สามว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าโดยชอบหรือไม่ และสัญญาเช่าสิ้นสุดแล้วหรือไม่… เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดผู้ให้เช่าไม่ยอมต่อสัญญาให้โดยบอกว่าจะขายหรือขายที่ดินและบ้านพิพาทแล้ว ต่อมาในระยะต่อเนื่องกัน นายภักดีผู้ซื้อไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในบ้านที่พิพาทได้ฟ้องขับไล่จำเลย กรณีเช่นนั้นแม้จำเลยจะอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทต่อมา หลังจากครบกำหนดสัญญาแล้วก็ถือไม่ได้ว่าได้ทำสัญญาใหม่ โดยไม่มีกำหนดเวลาเพราะนายภักดีผู้ให้เช่า ได้ทักท้วงแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๐ สัญญาเช่าระงับหรือสิ้นสุด โจทก์ผู้รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทไม่จำเป็นต้องบอกเลิกสัญญาเช่าอีก และโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๒ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินและบ้านพิพาทภายในกำหนด ๑ เดือน และจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วตามเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ เห็นว่าพยานโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารสนับสนุนและจำเลยก็ไม่ได้นำสืบหักล้าง จำเลยกลับเบิกความว่าเคยเห็นเอกสารหมาย จ.๒ เมื่อปี ๒๕๒๒ ในคดีที่โจทก์เคยฟ้องและจำหน่ายคดีไปแล้วเจือสมพยานโจทก์ จึงฟังได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ออกจากที่ดินและบ้านพิพาทแล้วแม้โจทก์จะบอกกล่าวก่อนฟ้องคดีก่อน แต่การที่จำเลยคงอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมานั้น ก็ถือได้ว่าได้ทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์ฟ้องคดีใหม่ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวอีก ฯลฯ
ปัญหาข้อที่ห้าว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า นายบุ้นจึ่ง แซ่ตั้ง พยานจำเลยที่จำเลยขอสืบนั้นเป็นพยานบอกเล่าและศาลได้ให้โอกาสแก่จำเลยพอสมควรแล้ว จำเลยเองก็แถลงรับว่า หากไม่ได้สืบพยานไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้ถือว่าไม่ติดใจสืบ ทั้งโจทก์แถลงคัดค้านว่าจำเลยประวิงคดีพฤติการณ์ดังกล่าวประกอบกัน จึงมีเหตุสมควรจะงดสืบพยานจำเลยต่อไปศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่มาตรา ๘๖ วรรคสอง
พิพากษายืน.