คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยผู้รับประกันภัยยินยอมให้โจทก์ผู้เอาประกันภัยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายเพราะเหตุรถยนต์ของโจทก์ที่ประกันภัยไว้ชนกับรถยนต์คนอื่นซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยแม้ความรับผิดของโจทก์ผู้เอาประกันภัยที่มีต่อผู้เสียหายจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็หาทำให้ความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ที่มีอยู่แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยเปลี่ยนแปลงระงับสิ้นไปไม่ จำเลยยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลย จำเลยได้ทำสัญญาว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของโจทก์หากโจทก์ต้องรับผิดตามกฎหมาย เพื่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอก เพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยรถยนต์บรรทุกของโจทก์ดังกล่าวได้ประสบอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของนายชัยมงคล นกขำดี โจทก์ได้ตกลงจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายชัยมงคล แทนจำเลยเป็นจำนวน 20,000 บาทโจทก์ถูกนายชัยมงคลฟ้องเรียกค่าซ่อมรถจำนวน 60,000 บาท รถยนต์บรรทุกของโจทก์ช่างได้ตีราคาค่าซ่อมเป็นจำนวน 10,935 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 90,935 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน90,935 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบโดยไม่ชักช้าและยังไปตกลงชดใช้ค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ 20,000 บาท โดยจำเลยไม่มีส่วนได้รับรู้ ข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามกฎหมายมีผลให้มูลหนี้เดิมคือมูลหนี้ละเมิดซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยมีผลคุ้มครองถึงระงับสิ้นไป ฉะนั้น กรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่มีผลคุ้มครองถึงมูลหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 65,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 25,000 บาท (ส่วนจำนวนเงิน 40,000 บาทนั้นโจทก์ยังมิได้จ่ายให้แก่ผู้เสียหาย จึงไม่คิดดอกเบี้ยให้) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินโจทก์เป็นเงิน50,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน25,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนค่าซ่อมรถนายชัยมงคล 25,000 บาท ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยและโจทก์ไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่คิดดอกเบี้ยให้จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ มีผลคุ้มครองต่อเหตุรถยนต์ชนกันหรือไม่ และสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้มูลหนี้ระงับไป อันทำให้จำเลยพ้นความรับผิดหรือไม่นั้น จำเลยฎีกาว่ากรมธรรม์ประกันภัยจะมีผลคุ้มครองก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น โจทก์ประพฤติผิดเงื่อนไขโดยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและสินไหมทดแทนให้แก่นายชัยมงคลผู้เสียหาย โดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบและไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย กรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่คุ้มครองโจทก์ในเรื่องนี้จำเลยนำสืบว่าโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้เสียหายโดยจำเลยมิได้ยินยอม ส่วนโจทก์เบิกความว่าฝ่ายจำเลยเคยมาตกลงกับโจทก์และผู้เสียหาย 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ในครั้งที่สามผู้ได้รับบาดเจ็บเรียกค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน20,000 บาท จึงตกลงกันได้โดยโจทก์ได้ให้นายสุชาติ วิชชุกร โทรศัพท์ไปเรียกจำเลยมาตกลงด้วย จำเลยบอกให้โจทก์ตกลงไปเลย แล้วไปรับเงินจากจำเลยภายหลัง จึงได้มีการทำบันทึกตกลงกันต่อหน้านายร้อยเวรในวันที่ 6 สิงหาคม 2524 ตามเอกสารหมาย ล.12 คดีนี้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2524 นายไพโรจน์ สุวรรณมณี ผู้จัดการฝ่ายประกันภัยรถยนต์ของจำเลยในขณะเกิดเหตุพยานจำเลยเบิกความว่าฝ่ายโจทก์ได้แจ้งให้ฝ่ายจำเลยทราบเรื่องรถยนต์ชนกัน 7 ชั่วโมงภายหลังเกิดเหตุ เห็นได้ว่าจำเลยทราบถึงเหตุรถยนต์ชนกันตั้งแต่วันเกิดเหตุน่าเชื่อว่าในระยะเวลา 2-3 วัน ต่อมาคือนับตั้งแต่เวลาที่จำเลยทราบถึงเหตุรถยนต์ชนกันจนถึงเวลาทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยน่าจะได้ร่วมเจรจากับผู้เสียหายตามที่โจทก์ได้เบิกความไว้ คำเบิกความของนายไพโรจน์พยานจำเลยจึงเจือสมข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความคือ บันทึกตามเอกสารหมาย ล.12 นั้น โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบให้จำเลยมาตกลงด้วย และในการนี้จำเลยมอบให้โจทก์เป็นผู้ตกลงกับผู้เสียหายข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และผู้เสียหายนั้น จำเลยได้รับทราบและยินยอมแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงตกไป จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยตามฟ้อง กรมธรรม์ประกันภัยย่อมคุ้มครองโจทก์ในกรณีที่รถยนต์ชนกันนี้และปัญหาที่ว่ามูลหนี้เดิมระงับไปเพราะการทำสัญญาประนีประนอมหรือไม่นั้น เมื่อฟังว่าจำเลยมีความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องแล้วแม้ต่อมาภายหลังความรับผิดของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อผู้เสียหายจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็หาได้ทำให้ความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยเปลี่ยนแปลงระงับสิ้นไปไม่ จำเลยยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน

Share