คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีก่อนจำเลยถูกฟ้องในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่ผู้เสียหาย(โจทก์คดีนี้) ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสและมีบุคคลอื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายบาดเจ็บ การที่จำเลยเบิกความในคดีก่อนว่าผู้เสียหายขับรถยนต์ชนรถยนต์ที่จำเลยขับในช่องทางเดินรถของจำเลย มีพวกผู้เสียหายเก็บเศษกระจกและเศษไม้จากช่องทางเดินรถของจำเลยไปไว้ในช่องทางเดินรถของผู้เสียหายเท่ากับเบิกความว่าเหตุที่รถยนต์ชนกันเป็นความผิดของผู้เสียหาย มิใช่ความผิดของจำเลย ซึ่งเป็นประเด็นโดยตรงของคดีก่อนที่ว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
แม้จำเลยจะมีสิทธิในการต่อสู้คดีและจะให้การอย่างไรหรือไม่ยอมให้การในคดีก่อนก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาคดีดังกล่าว ตัวจำเลยได้เข้าเบิกความในคดีในฐานะพยานซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลยหากคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จ จำเลยก็ต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ จะยกเอาสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐานเบิกความเท็จหาได้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเบิกความตามสิทธิในการต่อสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิด และไม่เป็นข้อสำคัญในคดี พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาชั้นฎีกาว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยข้อกฎหมาย จึงมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธิเบิกความต่อสู้คดีว่าไม่ได้กระทำความผิด แม้จะเป็นความเท็จก็ไม่เป็นความผิด และคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีก่อน จำเลยถูกฟ้องในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ขับสวนมาเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส และมีบุคคลอื่นที่โดยสารมาในรถยนต์ผู้เสียหายถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายบาดเจ็บ การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่าผู้เสียหายขับรถยนต์ชนรถยนต์ที่จำเลยขับในช่องทางเดินรถของจำเลย มีพวกของผู้เสียหายเก็บเศษกระจกและเศษไม้จากช่องทางเดินรถของจำเลยไปไว้ในช่องทางเดินรถของผู้เสียหาย เท่ากับเบิกความว่า เหตุที่รถยนต์ชนกันเป็นความผิดของผู้เสียหาย มิใช่ความผิดของจำเลยซึ่งเป็นประเด็นโดยตรงของคดีก่อนที่ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่ ดังนั้นข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี สำหรับในปัญหาที่ว่า จำเลยคดีนี้เป็นจำเลยในคดีก่อน การที่จำเลยเบิกความเป็นสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะมีสิทธิในการต่อสู้คดีและจะให้การอย่างไรหรือไม่ยอมให้การก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาคดีตัวจำเลยได้เข้าเบิกความในคดีดังกล่าวในฐานะพยานซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลย ดังนั้นหากคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จก็ต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ จะยกเอาสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยในคดีดังกล่าวมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐานเบิกความเท็จหาได้ไม่ ทั้งบทกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา177 ก็มิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่โดยที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีมูลให้ฟังได้ว่าข้อความที่จำเลยเบิกความในคดีก่อนเป็นเท็จหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในปัญหานี้เสียก่อน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 508/2527 ของศาลชั้นต้น ศาลวินิจฉัยคำเบิกความของจำเลยว่าไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพราะข้อที่จำเลยเบิกความว่ามีชาย 3 คนเอาเศษไม้ เศษกระจกไปโยนใส่ในช่องทางเดินรถ บ.ข.ส. และขณะนั้นมีตำรวจทางหลวงอยู่ที่สถานที่เกิดเหตุแล้ว จำเลยกลัวว่าจะถูกข่มขู่จึงไม่ได้แจ้งตำรวจทางหลวงเรื่องชาย 3 คน แต่ได้บอกกับพันตำรวจตรีวิโรจน์ขณะที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งจำเลยมิได้อ้างตำรวจทางหลวงมาเบิกความ และไม่ถามพันตำรวจตรีวิโรจน์ที่จำเลยอ้างมาเป็นพยานถึงเรื่องที่จำเลยเบิกความ ศาลจึงไม่เชื่อคำเบิกความของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ส่วนข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือความเท็จยังไม่แจ้งชัด ยิ่งไปกว่านั้นแม้ศาลจะรับฟังเป็นยุติในคดีก่อนว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท โดยจำเลยขับรถยนต์เข้าไปในทางเดินของรถที่ผู้เสียหายขับก็ตามก็ไม่เป็นการผูกมัดในคดีใหม่นี้ให้ต้องฟังว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความในคดีก่อนเป็นเท็จ เพราะมิฉะนั้นแล้วในคดีใดที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยเชื่อว่าจำเลยทำความผิดแล้ว คำเบิกความของจำเลยในคดีดังกล่าวจะต้องเป็นเท็จหมด ซึ่งหาเป็นเช่นนั้นไม่ เฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้โจทก์หามีพยานหลักฐานนอกจากพยานหลักฐานในคดีก่อนมานำสืบให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นความเท็จไม่ จึงจะฟังว่าคำเบิกความของจำเลยในคดีก่อนเป็นเท็จไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล”
พิพากษายืน

Share