คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4389/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี แต่ให้ลงโทษปรับ 10,000 บาทด้วย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่สั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่ามิใช่โทษที่ลงแก่จำเลยแต่เป็นการสั่งไปตามที่พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา72 ตรี ให้อำนาจไว้ ไม่ทำให้คู่ความมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปแผ้วถางและยึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 54, 72 ตรี กับให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่าดังกล่าวจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี ลงโทษจำคุก 1 ปี กับให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 3 ปี แต่ให้ลงโทษปรับ 10,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด3 ปี แต่ให้ลงโทษปรับ 10,000 บาทด้วย คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองศาลที่สั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่ามิใช่โทษที่ลงแก่จำเลยแต่เป็นการสั่งไปตามที่พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 72 ตรี ให้อำนาจไว้ แม้ศาลล่างทั้งสองจะมีคำสั่งในเรื่องนี้ด้วยก็ไม่ทำให้คู่ความมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงขึ้นมาได้ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินทั้งหมดเป็นจำนวนเนื้อที่ 19 ไร่ 3 งาน40 ตารางวา แต่เป็นที่ดินที่มี ส.ค.1 มาก่อนแล้วรวมเนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 20 ตารางวา ส่วนที่ดินที่เหลืออีก 16 ไร่ 20 ตารางวา จำเลยไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินหรือผู้มีสิทธิคนเดิมมาแสดง จึงเป็นที่ป่าตามความหมายในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(1) เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินอันเป็นที่ป่าจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง การที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ทั้งหมด มีผู้อื่นครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้วและเป็นที่ดินที่มี ส.ค.1 แล้วทั้งหมดจำเลยเพียงแต่ซื้อมาจากเจ้าของเดิมและสืบสิทธิครอบครองต่อ ไม่ใช่เป็นการเข้าครอบครองที่ป่านั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share