แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับผู้เยาว์รักใคร่ชอบพอกันแล้วหนีตามกันไปพักค้างคืนที่อื่น 20 กว่าคืน แล้วพากันกลับมาขอขมาพ่อแม่ผู้เยาว์ และพักอยู่กินด้วยกันที่บ้านพ่อแม่ผู้เยาว์อีก 10 กว่าวัน พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลย ย่อมถือได้ว่าจำเลยพาผู้เยาว์ไปเพื่อเป็นภริยา ไม่ใช่พาไปเพื่ออนาจาร จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
ย่อยาว
โจทก์เป็นบิดาผู้ปกครองของนางสาววัลลีย์ แตงเรือง อายุ ๑๗ ปีผู้เยาว์ ดำเนินคดีแทนผู้เยาว์ ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร โดยหลอกลวง แล้วใช้กำลังกายข่มขืนกระทำชำเราผู้เยาว์ ซึ่งมิใช่ภริยาจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๔, ๓๑๘ และ ๓๑๙
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับรับฟ้องเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๔, ๓๑๘, ๓๑๙ ยกฟ้องมาตรา ๒๗๖ เสีย
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนที่บ้านผู้มีชื่อจนได้เสียกันและรู้กันทั่วไป ถือว่าเป็นการอนาจาร เพราะทำให้โจทก์และมารดาผู้เยาว์เสียชื่อเสียงอับอายขายหน้าและเสียหายต่อวงศ์ตระกูล จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยกับนางสาววัลลีย์รักใคร่ชอบพอกัน แล้วนางสาววัลลีย์หนีตามจำเลยไปเพราะมีการนัดแนะกันมาก่อน จำเลยพานางสาววัลลีย์ไปพักค้างคืนที่บ้านนางขวัญเมือง และนายเดิม ๒๐ กว่าคืน ก็กลับมาขอขมาโจทก์และภริยา แล้วอยู่กินด้วยกันที่บ้านโจทก์อีก ๑๐ กว่าวัน จำเลยจึงได้ออกจากบ้านโจทก์ไปไม่กลับมาอีก พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าว ย่อมไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ เพราะจำเลยพานางสาววัลลีย์ไปเพื่อเป็นภริยา หาใช่เป็นการพาไปเพื่อการอนาจารแต่อย่างใดไม่ พิพากษายืน