คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3920/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นไปเดินเผชิญสืบโดยการตรวจหลักฐานการเช่าตู้นิรภัยของจำเลยว่ามีชื่อบุคคลตามที่ระบุไว้เป็นผู้เช่าหรือไม่ ถ้ามีจำเลยยอมรับในข้อนี้และขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาประเด็นที่เหลือต่อไป ถ้าไม่มีชื่อดังกล่าวเป็นผู้เช่าตู้นิรภัยโจทก์ยอมถอนฟ้อง หากไม่ถอนฟ้องก็ให้ศาลยกฟ้อง โดยโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานต่อไป เมื่อคู่ความตกลงท้ากันต่อหน้าศาลโดยความสมัครใจเช่นนี้ โจทก์จะกล่าวอ้างในภายหลังว่าโจทก์เป็นฝ่ายเสียเปรียบและขอยกเลิกคำท้านั้นหาได้ไม่ ศาลตรวจหลักฐานการเช่าตู้นิรภัยตามคำท้าแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีชื่อบุคคลตามที่ระบุไว้เป็นผู้เช่าและเมื่อโจทก์ไม่ยอมถอนฟ้องศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน1,150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยให้เช่าตู้นิรภัยหรือรับฝากทรัพย์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างสืบพยานโจทก์ในศาลชั้นต้น คู่ความตกลงท้ากันให้ศาลชั้นต้นไปเดินเผชิญสืบโดยการตรวจหลักฐานการเช่าตู้นิรภัยของผู้เช่าทุกรายที่เช่าตู้นิรภัยของจำเลยในระหว่างปี 2518 ถึงปี2523 ว่ามีลูกค้าชื่อหนึ่งชื่อใด คือ อีริค ชาร์ล จอห์นสันหรือ เอฟ.อี.สโตน หรือ บี.สโตน หรือ พี.สโตน หรือฟรานซิส เอดเวิร์ด สปิค หรือ แบรี่ จอห์น วอเรน เป็นผู้เช่าตู้นิรภัยของจำเลยหรือไม่ ถ้ามีชื่อใดชื่อหนึ่งในจำนวนห้าชื่อดังกล่าวเป็นผู้เช่าตู้นิรภัยของจำเลย จำเลยยอมรับในข้อนี้และขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาประเด็นที่เหลือต่อไป ถ้าไม่มีชื่อดังกล่าวเป็นผู้เช่าตู้นิรภัย โจทก์ยอมถอนฟ้อง หากไม่ถอนฟ้องก็ขอให้ศาลยกฟ้องโดยโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นได้เดินเผชิญสืบครั้งแรก ศาลได้ตรวจสอบหลักฐานการเช่าตู้ตั้งแต่เวลา 10.35 นาฬิกา จนถึง 13.35 นาฬิกายังไม่พบชื่อดังกล่าวแต่ยังตรวจสอบไม่เสร็จ เพราะมีหลักฐานต่าง ๆ เป็นจำนวนมากจึงเลื่อนไปนัดตรวจสอบครั้งต่อไป ก่อนถึงวันนัด โจทก์ยื่นคำร้องขอยกเลิกการเผชิญสืบตามคำท้า จำเลยค้านขอให้เป็นไปตามข้อตกลงเดิม ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโจทก์ และได้ตรวจหลักฐานการเช่าตู้นิรภัยตามที่ธนาคารจำเลยนำมาให้ตรวจ ไม่ปรากฏว่ามีชื่อใดชื่อหนึ่งในห้าชื่อตามที่โจทก์อ้างว่าเป็นชื่อสามีโจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมถอนฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อตกลงตามคำท้าโจทก์เป็นฝ่ายเสียเปรียบไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 10 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นวันที่คู่ความตกลงท้ากันว่า วันนั้นทั้งตัวโจทก์และทนายโจทก์มาศาล เมื่อคู่ความตกลงท้ากันต่อหน้าศาลโดยความสมัครใจเช่นนี้โจทก์จะกล่าวอ้างในภายหลังว่าโจทก์เป็นฝ่ายเสียเปรียบและขอยกเลิกคำท้านั้นหาได้ไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อตกลงดังกล่าวโจทก์ทำไปเพราะความสำคัญผิดในสาระสำคัญและเพราะเจตนาฉ้อฉลของจำเลยนั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างความข้อนี้มาในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน

Share