แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก,277 ทวิ,297, 364,365,80 การกระทำ ของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษ ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนัก และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโดยไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด เมื่อ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริง เพื่อข่มขืนกระทำชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษาก็เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1),297,364,365(3)เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ ตามมาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1) ซึ่งเป็น บทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 277 ทวิ, 297, 364, 365, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก, 277 ทวิ, 297, 364, 365, 80 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว จะได้วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าคำของผู้เสียหายที่ยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ชกต่อยแล้วพยายามข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยก็ยอมรับว่าได้ชกต่อยผู้เสียหายจริงโจทก์ยังมีนางสาวประภาพร รุ่งเพียรเบิกความยืนยันว่าหลังจากได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือแล้ว พยานชะโงกดูทางระเบียง เห็นมีผู้ชายไม่ได้สวมเสื้อผ้ากำลังปืนจากระเบียงห้องของผู้เสียหายลงไปข้างล่าง สักครู่ได้ยินเสียงเหมือนของตกลงในน้ำ ร้อยตำรวจโทภูมินทร์ มีกุศล พนักงานสอบสวนก็เบิกความยืนยันว่า คืนเกิดเหตุเวลา 4.05 นาฬิกา ผู้เสียหายมาแจ้งว่า มีคนร้ายซึ่งผู้เสียหายจำหน้าได้มาชกต่อยผู้เสียหายพร้อมถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายพยายามจะข่มขืนกระทำชำเราที่จำเลยว่า จำเลยไม่ได้พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่า เหตุเกิดในเวลากลางคืนประมาณ 3 นาฬิกา และสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องนอนของผู้เสียหาย การที่จำเลยแก้ผ้าเข้าไปในห้องนอนอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย ย่อมประสงค์ที่จะข่มขืนกระทำชำเรา คำของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าได้ร้องขอความช่วยเหลือและยืนยันว่าจำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายโดยกระทำอะไรบ้างย่อมเป็นถ้อยคำที่เบิกความตามพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นผู้กระทำ และลักษณะการกระทำของจำเลยที่เข้าไปชกใบหน้าผู้เสียหายโดยใช้เข่ายันเตียงนอนก็อยู่ในวิสัยที่กระทำชำเราผู้เสียหายได้แล้ว การที่จำเลยยอมรับผิดเฉพาะในข้อหาบุกรุกและยอมใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท เป็นเช็ค แต่ผู้เสียหายต้องการให้จำเลยรับโทษตามกฎหมาย ทำให้เหตุผลตามที่จำเลยนำสืบไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตามคำของผู้เสียหายได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ถูกผู้เสียหายปรักปรำและผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องแล้วลงโทษจำคุกขั้นต่ำตามมาตรา 277 ทวิ นั้น นับว่าปรานีแล้วการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ(1), 297, 364, 365(3) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ(1)ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์