คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

กรณีที่ศาลสั่งให้คืนทรัพย์ของกลางแก่เจ้าของ หากผู้ร้องเห็นว่าตนเป็นเจ้าของทรัพย์ของกลางที่แท้จริงก็ชอบที่จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 48 วรรคท้ายด้วยการฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจชำระ ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์ของกลางในคดีเดิมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 หาได้ไม่เพราะไม่ใช่กรณีที่ศาลสั่งริบทรัพย์ของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 91 และให้คืนของกลางแก่เจ้าของกับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า จำเลยนำทรัพย์สินของกลางมาขายฝากไว้กับผู้ร้องทั้งสี่ ครบกำหนดแล้ว จำเลยไม่ไถ่ทรัพย์คืนทรัพย์จึงตกเป็นของผู้ร้องทั้งสี่ ต่อมาเจ้าพนักงานได้มาขอรับทรัพย์ดังกล่าวไปประกอบหลักฐานในการดำเนินคดีบัดนี้ คดีถึงที่สุดแล้วขอให้ศาลมีคำสั่งคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้คืนทรัพย์ของกลางแก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามที่ได้รับซื้อฝากไว้เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อฝากมา โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่ากรณีของผู้ร้องทั้งสี่มิใช่เป็นการเสนอขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ริบแก่เจ้าของแท้จริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เพราะในคดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งริบทรัพย์สินที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอคืน เพียงแต่สั่งให้คืนของกลางแก่เจ้าของ หากผู้ร้องทั้งสี่เห็นว่าตนเป็นเจ้าของอันแท้จริงก็ชอบที่จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 48 วรรคท้าย ด้วยการฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจชำระผู้ร้องทั้งสี่หามีอำนาจมาร้องเช่นนี้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองดำเนินการไต่สวนและมีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่

Share