คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3629/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยขอเปลี่ยนตัวพยานจากร.มาเป็นท. ภายหลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่สืบพยานก่อนได้สืบพยานหลักฐานเสร็จแล้ว ในคำร้องอ้างเหตุเพียงว่า ร.ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการและพนักงานของจำเลยแล้ว ไม่สามารถตามตัวได้ มิได้อ้างเหตุที่เกี่ยวกับพยานที่ระบุเพิ่มเติมซึ่งไม่ใช่เหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสามที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมได้ ทั้งประเด็นที่จะสืบ ท. ก็มีเพียงเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยและกิจการของจำเลยซึ่งโจทก์ได้นำสืบยอมรับแล้วว่าจำเลยมีความรับผิดตามข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น ดังนั้นประเด็นที่จำเลยจะสืบ ท. จึงไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งประเด็นที่จำเลยจำเป็นจะต้องนำสืบเพื่อให้คำวินิจฉัยของศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ชอบที่จะไม่อนุญาตให้จำเลยระบุ ท.เป็นพยานเพิ่มเติม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส และรถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นการกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างโดยจำเลยที่ 2 นำไปเข้าร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันวินาศภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ได้ตกลงจะซ่อมรถยนต์ให้โจทก์แล้วไม่จัดการให้ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน3,256,159 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท แต่โจทก์เป็นฝ่ายประมาทจำเลยที่ 1 มิได้กระทำการไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 5มีความรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่เกิน100,000 บาท แต่จะต้องหักค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดเองเป็นเงิน 1,000 บาทออกก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ 495,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยจำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดเพียง 99,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4โจทก์และจำเลยที่ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงิน 1,579,989 บาทพร้อมดอกเบี้ยโดยให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดในวงเงิน 99,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 แล้ววินิจฉัยฎีกาข้อสุดท้ายว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยขอเปลี่ยนตัวพยานจากนายรังสรรค์ กำธรชน มาเป็นนายทักษิณ เตพละกุลภายหลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่สืบพยานก่อนได้สืบพยานหลักฐานเสร็จแล้วและในคำร้องของจำเลยที่ 5 อ้างเหตุเพียงว่า นายรังสรรค์ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการและพนักงานของจำเลยที่ 5 ไม่สามารถตามตัวได้โดยมิได้อ้างเหตุที่เกี่ยวกับพยานระบุเพิ่มเติมซึ่งไม่ใช่เหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสามที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 5 ระบุพยานเพิ่มเติมได้ ทั้งประเด็นที่จะสืบ นายทักษิณพยานที่จำเลยที่ 5 อ้างเพิ่มเติม ก็มีเพียงเกี่ยวกับเรื่องกรมธรรม์ประกันภัยและกิจการของจำเลยที่ 5 ซึ่งโจทก์ได้นำสืบยอมรับแล้วว่า จำเลยที่ 2นำรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 คันเกิดเหตุไปประกันภัย ไว้กับจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 5 มีความรับผิดตามข้อความในกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย ล.6 ดังนั้นประเด็นที่จำเลยที่ 5 จะสืบนายทักษิณพยานซึ่งระบุเพิ่มเติมจึงไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งประเด็นที่จำเลยที่ 5 จำเป็นจะต้องนำสืบเพื่อให้คำวินิจฉัยของศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 5 ระบุนายทักษิณเป็นพยานเพิ่มเติมจึงชอบด้วยเหตุผลแล้วฎีกาของจำเลยที่ 5 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share