แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องให้จำเลยที่ 3 เช่าซื้อรถยนต์ของกลาง เมื่อจำเลยที่ 3 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ร้องก็ไม่บอกเลิกสัญญาทันทีทั้งมิได้ติดตามทวงถามหรือยึดรถหรือแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบเพื่อขอรถคืน อีกทั้งข้อสัญญาก็ระบุว่าถ้ารถยนต์คันเช่าซื้อถูกริบหรือสูญหายผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิด ดังนี้ พฤติการณ์แสดงว่าผู้ร้องยื่นคำขอให้ศาลคืนรถยนต์ของกลางเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 3 จึงเป็นพฤติการณ์ที่ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยกระทำความผิดและเป็นการไม่สุจริต
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางโดยจำเลยที่ 3 เช่าซื้อไปจากผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายและจำหน่ายรถยนต์ รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น-2653 นครพนมของกลาง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบนั้นเป็นรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 ได้เช่าซื้อจากผู้ร้องแล้วผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวจึงยังคงเป็นของผู้ร้อง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องมีนายไพรวัลย์ นามกระจายผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องได้ทำหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 23 ธันวาคม 2529 ตามเอกสารหมาย จ.1 ให้จำเลยที่ 3ไปขอรถยนต์ของกลางคืน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าวแต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่คืนให้และมีจำเลยที่ 3 เบิกความว่ารถยนต์ของกลางนี้พยานได้เช่าซื้อจากผู้ร้องเมื่อปลายปี พ.ศ.2528 ในราคา 170,000 บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ 3,500 บาทรวม 43 งวด หลังจากสัญญาเช่าซื้อแล้วพยานได้ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 3 งวด หลังจากนั้นก็ไม่ชำระอีกเลย ผู้ร้องไม่เคยบอกเลิกสัญญากับพยาน หลังจากที่พยานถูกจับกุมในข้อหามีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และรถยนต์ของกลางที่เช่าซื้อถูกยึดเพราะนำมาบรรทุกกัญชาแล้ว พยานได้ให้บุตรชายไปแจ้งให้ผู้ร้องทราบผู้ร้องได้มอบอำนาจให้พยานไปรับรถยนต์ของกลางคืน ทั้งบอกด้วยว่าถ้าได้รถยนต์ของกลางคืนมาแล้ว ถ้าพยานชำระค่าเช่าซื้อครบแล้วผู้ร้องก็จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางให้ เห็นได้ว่าเมื่อจำเลยที่ 3 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแล้ว ผู้ร้องก็ไม่บอกเลิกสัญญาทันที ทั้งมิได้ติดตามทวงถามหรือยึดรถหรือแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบเพื่อขอคืน ทั้งข้อสัญญาก็ระบุว่าถ้ารถยนต์คันเช่าซื้อถูกริบหรือสูญหายผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิด เช่นนี้ ตามข้อสัญญาและพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังที่ได้ความจากคำพยานผู้ร้องแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 เจตนาจะได้รับค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้นการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องจึงเห็นได้ว่าเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 3 ในการที่จะได้รับรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลัง เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยกระทำความผิดด้วย และเป็นการไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องของผู้ร้องต้องกันมานั้นชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน