คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดาเอาที่ดินมือเปล่าของบุตรไปขายฝากไว้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจแต่เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามสัญญาแล้วไม่มีการไถ่การยึดถือของผู้รับซื้อฝากในที่ดินนั้นย่อมเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367เมื่อเกิน 1 ปีแล้ว บุตรผู้เป็นเจ้าของก็หมดสิทธิที่จะเรียกที่ดินคืนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มารดาโจทก์เอาที่ดินของโจทก์ไปขายฝากไว้แก่จำเลย โดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้รู้เห็นยินยอม โจทก์ขอไถ่คืนจำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การต่อสู้ว่า การขายฝากครบกำหนดไถ่ถอนแล้วที่ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และอ้างว่าโจทก์ก็ทราบแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการขายฝากและให้จำเลยรับไถ่ถอน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า แม้จะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ มารดาโจทก์นำมาขายฝากแก่จำเลยโดยไม่มีอำนาจก็ตามแต่เมื่อจำเลยรับซื้อไว้โดยสุจริต และเข้ายึดถือที่ดินนั้นตามสัญญาขายฝาก แม้ชั้นต้นก่อนครบกำหนดไถ่ การยึดถือของจำเลยจะเป็นการยึดแทนผู้ขายก็ตาม แต่เมื่อพ้นกำหนดไถ่ถอนตามสัญญา ไม่มีการไถ่การยึดถือของจำเลยต่อจากนั้นเป็นการที่จำเลยยึดถือโดยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 โจทก์เพิ่งฟ้องคดีนี้ภายหลังจากที่จำเลยได้ยึดถืออย่างฐานะเป็นเจ้าของมาแล้วเกือบ 4 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะเรียกคืนได้ ฯลฯ

จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share