คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3958/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลมีอายุความ 10 ปีตามป.พ.พ. มาตรา 168 ลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงซึ่งถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด อายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้เป็นต้นไปตามมาตรา 169 เจ้าหนี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงถือว่าเป็นหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 94(1) เจ้าหนี้จึงไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ไว้เด็ดขาด เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า ลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12865/2520 และ 11540/2520 ของศาลชั้นต้น แต่มูลหนี้ดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาล จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 ได้ความว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12865/2520 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2520 และพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11540/2520 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2520คดีถึงที่สุดโดยไม่มีอุทธรณ์ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่มีการดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาทั้งสองคดี เจ้าหนี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2531 นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษาตามยอมในคดีทั้งสองจนถึงวันยื่นคำขอรับชำระหนี้ เป็นระยะเวลาเกิน10 ปี ทั้งไม่มีเหตุอันใดที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง มูลหนี้ตามคำพิพากษาทั้งสองรายจึงเป็นอันขาดอายุความต้องห้ามมิให้ได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 94(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 เห็นควรให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้เสียทั้งสิ้นตามมาตรา 107(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังได้ว่า หนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12865/2520เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม2520 ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2520 ให้ลูกหนี้กับพวกร่วมกันชำระเงิน 639,671.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2519 จนกว่าจะชำระเสร็จ และใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่เจ้าหนี้ไม่ได้รับคืนจากศาล โดยผ่อนชำระเดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ งวดแรกชำระภายในวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2521 งวดต่อไปทุกวันที่ 10 ของเดือน หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีได้ทันที นายทวีชัย พรรณรังษี ยอมรับผิดร่วมกับลูกหนี้ชำระเงินดังกล่าวไม่เกินวงเงิน 182,458.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยเมื่อนายทวีชัยชำระเงิน 107,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จก็ให้ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ นางลัดดาวัลย์ วงศ์พนาสินยอมรับผิดร่วมกับลูกหนี้ชำระเงินดังกล่าวไม่เกินวงเงิน 313,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย เมื่อนางลัดดาวัลย์ชำระเงิน 293,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จก็ให้ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ ฯลฯหลังจากศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว นายทวีชัย ลูกหนี้ร่วมได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2521 เป็นเงิน122,742.19 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคงเหลือยอดหนี้ค้างชำระในวันไถ่ถอนจำนวน 676,233.53 บาท ตามเอกสารหมาย จ.36 ถึง จ.38 วันที่ 19 มิถุนายน 2521 นางลัดดาวัลย์ลูกหนี้ร่วมได้ชำระหนี้ 347,787.01 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เมื่อหักหนี้แล้วคงเหลือยอดหนี้ในวันที่ 20มิถุนายน 2521 เป็นเงิน 350,002.57 บาท ตามเอกสารหมาย จ.39ถึง จ.41 หลังจากนั้นไม่มีการชำระหนี้อีกเลย เจ้าหนี้ได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามเอกสารหมาย จ.24 แต่ยังไม่มีการบังคับคดีเพราะไม่สามารถสืบหาทรัพย์สินได้
สำหรับหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11540/2520เจ้าหนี้ได้ฟ้องลูกหนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 28มิถุนายน 2520 ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน2520 ให้ลูกหนี้กับพวกชำระเงิน 540,594.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 379,237.18 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ในต้นเงิน 136,890 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ฯลฯ โดยผ่อนชำระเดือนละ 12,500 บาท ภายในวันที่ 15ของทุกเดือน เดือนแรกภายในวันที่ 15 มกราคม 2521 กำหนดชำระให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันมีคำพิพากษาตามยอมหากผิดนัดยอมให้บังคับคดีในหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดได้ทันทีและยอมใช้ค่าฤชาธรรมเนียม 4,533.75 บาท แก่เจ้าหนี้ตามเอกสารหมายจ.29 ถึง จ.31 หลังจากศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ได้มีการผ่อนชำระหนี้แก่เจ้าหนี้รวม 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2521จำนวน 12,500 บาท ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2521จำนวน 12,500 บาท และครั้งที่สามเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2521จำนวน 12,500 บาท หลังจากนั้นไม่มีการชำระหนี้อีกเลย เจ้าหนี้ได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแล้วตามเอกสารหมาย จ.32 แต่ยังไม่มีการบังคับคดี
พิเคราะห์แล้ว ปัญหามีว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12865/2520 และ 11540/2520ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า หนี้จำนวนแรกในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12865/2520 ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2520ลูกหนี้กับพวกยอมผ่อนชำระเงินเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000บาท งวดแรกชำระภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2521 งวดต่อไปทุกวันที่ 10ของเดือนและชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีได้ทันที ดังนี้มูลหนี้ดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาล จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตั้งแต่งวดเดือนแรกคือภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2521 ถือว่าผิดนัดตั้งแต่นั้นอายุความเริ่มนับแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 กล่าวคือ ตั้งแต่วันที่ 11กุมภาพันธ์ 2521 จนถึงวันที่เจ้าหนี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2531 เป็นระยะเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ส่วนการที่นายทวีชัยและนางลัดดาวัลย์ลูกหนี้ร่วมได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2521 และวันที่ 19 มิถุนายน 2521 จำนวน 122,752.19บาท และ 347,787.01 บาท ตามลำดับก็เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินตามสิทธิของลูกหนี้ร่วมที่ระบุไว้ในคำพิพากษาตามยอมโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับการชำระหนี้ในส่วนของลูกหนี้ ดังนี้หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 94(1) เจ้าหนี้ไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้…ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในหนี้จำนวนที่สองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา…”
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน 1,374,023.63 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share