คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยย่อมตกเป็นของจำเลยการที่จำเลยโอนเงินที่รับฝากไว้ไปให้บุคคลอื่นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ อันเป็นการยกฟ้องโจทก์อาศัยข้อกฎหมายดังนี้ โจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อฎีกาของโจทก์คงโต้เถียงเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่เท่านั้น มิได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา352, 354, 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องจำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามกันมาให้ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่โจทก์ฎีกายกพฤติการณ์และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ขึ้นอ้างโดยมุ่งประสงค์ให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเงินฝากของโจทก์ไปจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยที่ 1 ย่อมตกเป็นของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 การที่จำเลยที่ 1 โอนเงินที่รับฝากไปให้บุคคลอื่นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1ในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก อันเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย คดีของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ในชั้นฎีกาโจทก์คงโต้เถียงเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1มีเจตนาทุจริตหรือไม่เท่านั้น มิได้คัดค้านคำวินิจฉัยข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share