คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6326/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในหนี้จำนอง มีสิทธิร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 และร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในฐานะเจ้าหนี้สามัญตามมาตรา 290 ได้ด้วย การที่ผู้ร้องและโจทก์ในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกัน และเป็นผู้รับจำนองทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในสัญญาจำนองฉบับเดียวกันบุริมสิทธิของผู้ร้องและโจทก์เป็นบุริมสิทธิที่จะบังคับและได้รับชำระหนี้ร่วมกันจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ได้เพียงไม่เกินวงเงินจำนอง จะขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิเต็มตามจำนวนหนี้หาได้ไม่ ส่วนหนี้ที่เหลือผู้ร้องคงยื่นคำร้องขอเฉลี่ยได้อย่างเจ้าหนี้สามัญ.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กู้เงินและจำนองเป็นประกันเงินกู้ กับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันและจำนองประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงินกู้คืนแก่โจทก์พร้อมกับบังคับจำนองศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 798,427.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์คดีถึงที่สุดจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 15663 ตำบลวัดอรุณ (บางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทรัพย์จำนอง แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปโดยปลอดจำนอง เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2530 ต่อมาวันที่ 23มิถุนายน 2530 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้รวม 2 ฉบับ ฉบับแรกความว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ผู้ร้องตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 2713/2528 ของศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องว่าจะชำระเงิน 784,218.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีของต้นเงิน 727,438.37 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนให้แก่ผู้ร้องภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 15663 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างที่ตำบลวัดอรุณ (บางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ) อำเภอบางกอกใหญ่กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้ผู้ร้อง หากได้เงินไม่พอชำระจำเลยที่ 1 ยอมให้ผู้ร้องยึดทรัพย์สินอื่น ๆของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่ผู้ร้องจนครบจำนวนหนี้ ฉบับที่สองความว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ผู้ร้องตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 2714/2528 ของศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องว่าจะชำระเงิน165,541.55 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงิน14,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน128,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนให้แก่ผู้ร้องภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่15663 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างที่ตำบลวัดอรุณ (บางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ)อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้ผู้ร้องหากได้เงินไม่พอชำระ จำเลยที่ 1 ยอมให้ผู้ร้องยึดทรัพย์สินอื่น ๆของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่ผู้ร้องจนครบจำนวนหนี้แต่จำเลยที่ 1 ไม่เคยชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทั้งสองคดีดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง โจทก์และผู้ร้องต่างเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1ที่โจทก์นำยึด ประกอบกับจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะนำมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องได้ ผู้ร้องจึงขอเข้าเฉลี่ยหนี้ที่ผู้ร้องมีต่อจำเลยที่ 1 ในฐานะที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในฐานะเดียวกับโจทก์จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287, 290
โจทก์ไม่คัดค้านการที่ผู้ร้องขอเฉลี่ยหนี้ตามคำร้องทั้งสองฉบับ
จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านและจำเลยที่ 2 แก้ไขคำคัดค้านว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยหนี้ตามคำพิพากษาที่ผู้ร้องมีต่อจำเลยที่ 1 จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เพราะสัญญาจำนองเป็นประกันระงับสิ้นไปแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องภายหลังขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง และใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดไต่สวน และวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นกรณีขอรับชำระหนี้จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ผู้ร้องต้องยื่นคำร้องก่อนเอาทรัพย์สินออกขายทอดตลาด เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องหลังจากเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้ว เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสอง ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำร้องทั้งสองฉบับของผู้ร้องหาใช่คำร้องที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ไม่ แต่เป็นคำร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาว่าผู้ร้องต้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาดและยังเป็นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ตามคำพิพากษาที่ผู้ร้องมีต่อจำเลยที่ 1จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 อีกด้วย เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่แล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง เพื่อวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิบังคับเหนือทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 และมีสิทธิขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองหรือไม่พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องทั้งสองฉบับของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่15663 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้ทั้งหลายที่จำเลยที่ 1มีต่อโจทก์หรือผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกัน คือ ธนาคารกรุงเทพจำกัด ต่อมาโจทก์และผู้ร้องได้แยกฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และบังคับจำนองเป็นคดีนี้กับอีก 2 คดี ตามที่ร้องขอรับชำระหนี้จำนอง ดังนั้นคำร้องทั้งสองฉบับของผู้ร้องหาใช่เป็นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1ผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนอง ซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์นั้นออกขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสองไม่ แต่เป็นคำร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 และเป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในฐานะผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นเดียวกับโจทก์จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่แล้วศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องทั้งสองฉบับของผู้ร้องต่อไปแล้วมีคำสั่งตามรูปคดี พิพากษายืน
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดไต่สวนและวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 15663 ของจำเลยที่ 1 โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289และขอเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 เมื่อฟังได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 15663 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไปแล้วตามคำสั่งศาล สัญญาจำนองย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(5) ผู้ร้องจะขอรับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาด โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ไม่ได้ ให้ยกคำร้องทั้งสองฉบับของผู้ร้องในส่วนนี้ และเมื่อฟังได้ว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาได้ยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290วรรคสี่ แล้วและจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินที่ผู้ร้องจะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีก ผู้ร้องจึงมีสิทธิเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 15663 และสิ่งปลูกสร้าง ตำบลวัดอรุณ (บางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร หลังจากชำระหนี้จำนองให้โจทก์แล้วได้ตามคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิเช่นเดียวกับโจทก์เข้าเฉลี่ยหนี้ที่ผู้ร้องมีต่อจำเลยที่ 1 ตามคำร้องทั้งสองฉบับ จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิขอเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่15663 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองในลำดับเดียวกับโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์และผู้ร้องเป็นบุคคลคนเดียวกัน ได้รับจำนองที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เพื่อประกันหนี้เงินกู้ในคดีนี้และหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และสัญญาขายลดตั๋วเงิน ต่อมาผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยที่ 1ตามมูลคดีดังกล่าวเป็นสองคดีและในที่สุดทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมในคดีของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ 2713/2528และ 2714/2528 ตามลำดับ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีทั้งสองหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ก็ให้บังคับจำนองเอาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 15663 เช่นเดียวกัน เมื่อมีการบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 15663 ในคดีนี้ ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดในฐานะเจ้าหนี้จำนองและไม่มีทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 จะยึดมาชำระหนี้ได้อีก ซึ่งจำเลยทั้งสองคัดค้าน ในที่สุดศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นคำร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 และเป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในฐานะผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นเดียวกับโจทก์จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษาแล้วว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในหนี้จำนองมีสิทธิร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินจำนองและร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ คำวินิจฉัยในเรื่องสิทธิของผู้ร้องย่อมถึงที่สุด แม้ศาลฎีกาจะให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องทั้งสองฉบับของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งตามรูปคดีนั้นก็ตาม หมายความเพียงว่าให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งไปตามสิทธิของผู้ร้องที่ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้ หาทำให้เกิดข้อโต้เถียงว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิเป็นอย่างอื่นอีกไม่ ฉะนั้นเมื่อสิทธิของผู้ร้องเป็นสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในหนี้จำนองที่จะได้รับชำระเหนือทรัพย์ที่จำนอง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทรัพย์จำนองได้ แต่ปรากฏว่า ผู้ร้องและโจทก์เป็นบุคคลคนเดียวกันและเป็นผู้รับจำนองทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในสัญญาจำนองฉบับเดียวกันซึ่งเป็นสัญญาประกันหนี้ทุกประเภทที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ผู้ร้องหรือโจทก์ บุริมสิทธิของผู้ร้องและโจทก์จึงเป็นบุริมสิทธิที่จะบังคับเอาจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ไม่เกินวงเงินที่จำนอง ผู้ร้องจึงขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิเต็มตามจำนวนหนี้ตามคำร้องไม่ได้…”
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ที่ผู้ร้องมีต่อจำเลยที่ 1 ตามคำร้องทั้งสองฉบับจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 โดยให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ร่วมกับโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิจำนวนไม่เกินวงเงินที่จำนอง จำนวนหนี้นอกจากนั้นให้ผู้ร้องเฉลี่ยได้อย่างเจ้าหนี้สามัญ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share