แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิม ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ฟ้องลูกหนี้(จำเลย) เป็นคดีแพ่งสามัญ(เรียกเงินตามเช็ค แล้วต่อมาลูกหนี้ถูกฟ้องและศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ด็ดขาดในคดีล้มละลาย ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จึงขอถอนฟ้องคดีแพ่งโดยใช้ถ้อยคำว่า ถอนฟ้องเพื่อไปดำเนินการขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องขอรัรบชำระหนี้มิได้มีเจตนาที่จะถอนฟ้องไปเสียเลยโดยเด็ดขาดตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 174 ที่ว่า “คดีนั้นได้ถอนเสีย” อย่างไรก็ดี คดีแพ่งสามัญจะดำเนินไปหรือไม่ก็ตาม แม้ชนะคดีแล้ว ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ก็ต้องไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอยู่นั่นเอง และศาลก็ได้อนุญาตตามที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้แถลง เท่ากับเป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องทางศาลโดยการฟ้องคดีแพ่งและขอพิสูจน์หนี้ในคดีล้มละลาย ต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดต่อเนื่องกันไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 หาเป็นเหตุให้อายุความไม่สะดุดหยุดลงตามมาตรา 174 ไม่
(ประชุมใหญ่ ครื่งที่ 12/2508)
ย่อยาว
ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้(จำเลย) ล้มละลาย บริษัทคลังสินค้าวิบูลสถิตจำกัด เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามเช็ค ๔ ฉบับ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนเสนอความเห็นว่า เช็ค ๔ ฉบับนี้เมื่อถึงกำหนดวันสั่งจ่ายเจ้าหนี้รับเงินที่ธนาคารไม่ได้แล้วต่อมาจึงได้ดำเนินคดีกับลูกหนี้เป็นคดีแพ่ง เมื่อฟ้องคดีแพ่งแล้วทราบว่าลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงมายื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้ พิจารณาวันที่ลงในเช็คแล้ว เช็คเลขที่ บี.๓๙๔๑๕๐ เท่านั้นที่ยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๐๒ จึงเห็นว่า เจ้าหนี้ควรได้รับชำระหนี้ตามเช็คเลขที่ บี.๓๙๔๑๕๐ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา ๑๓๐(๘), ๑๐๗(๓) ส่วนหนี้ตามเช็คอีก ๓ ฉบับ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ขาดอายุความ ให้ยกเสีย
ศาลแพ่งมีคำสั่งเห็นชอบ
ผู้ร้องขอรับชำระหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ฎีกาว่า เช็คทั้ง ๓ ฉบับของผู้ร้อง ฯ ยังไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ได้ฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยคดีแพ่งดำที่ ๑๑๖๙/๒๕๐๐ แดงที่ ๑๘๖๘/๒๕๐๐) เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๐๐ คดีนี้ฟ้องภายหลังเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๐๐ ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๐๐ ต่อมาวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๐๐ เป็นวันนัดสืบพยานคดีดำที่ ๑๑๖๙/๒๕๐๐ ทนายโจทก์คดีดังกล่าวแถลงศาลว่า ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๐๐ แล้วศาลสั่งให้นัดโจทก์จำเลยและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาพร้อมกันในวันที่ ๒๘ เดือนนั้น ครั้นถึงวันนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ไปศาลตามนัด ศาลสอบทนายโจทก์ ทนายโจทก์แถลงว่าขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ (ลูกหนี้) เพื่อไปดำเนินการขอรับชำระหนี้ทางเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อไป จำเลยที่ ๒ ในฐานะประธานกรรมการจำเลยที่ ๑ ไม่คัดค้าน ศาลจึงสั่งอนุญาต วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๐๐ ผู้ร้องก็ได้ร้องขอรับชำระหนี้รายนี้ ดังนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่ผู้ร้องใช้ถ้อยคำว่า ถอนฟ้องเพื่อไปดำเนินการขอรับชำะระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องมิได้เจตนาที่จะถอนฟ้องไปเสียเลยโดยเด็ดขาดตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๔ ที่ว่า “คดีนั้นได้ถอนเสีย” หากเป็นเพียงว่า ผู้ร้องแสดงเจตนาที่จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายทางเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ทางเดียว จะได้ไม่เป็นการยุ่งยากทางคดีแพ่งสามัญต่อไป เพราะเหตุที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มาศาลตามนัดเสียเฉย ๆ อย่างไรก็ดี คดีแพ่งสามัญจะดำเนินไปหรือไม่ก็ตามที และศาลก็ได้อนุญาตตามที่ผู้ร้องแถลงแล้วย เท่ากับเป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องทางศาล โดยการฟ้องคดีแพ่งและขอพิสูจน์หนี้ในคดีล้มละลายต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดต่อเนื่องกันไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓ หาเป็นเหตุให้อายุความไม่สะดุดหยุดลงตามมาตรา ๑๗๔ ไม่ พิพากษากลับ อนุญาตให้บริษัทคลังสินค้าวิบูลสถิตจำกัดเจ้าหนี้ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ ได้รับชำระหนี้ตามเช็คทั้ง ๓ ฉบับ เลขที่ บี.๓๙๔๑๓๑, ๓๙๔๑๔๐, ๓๙๔๑๔๑ เต็มจำนวนฉบับละหนึ่งแสนบาท