คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5477/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ธนาคารผู้ร้องค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์ในวงเงิน 50,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบสมุดคู่ฝากประจำจำนวนเงิน 50,000 บาท ที่ฝากไว้กับธนาคารผู้ร้องและสลักหลังจำนำเงินฝากตามสมุดคู่ฝากดังกล่าวต่อผู้ร้องด้วย แม้ผู้ร้องได้ยินยอมให้นำเงินฝากดังกล่าวเป็นประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ร้องค้ำประกันจำเลยที่ 1 แต่เงินฝากดังกล่าวย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องมาตั้งแต่มีการฝากเงิน จำเลยที่ 1 ผู้ฝากคงมีสิทธิที่จะถอนเงินที่ฝากไปได้ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวนที่ขอถอนเท่านั้น จึงไม่ใช่การส่งมอบสังหาริมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ให้แก่ผู้ร้องตามลักษณะจำนำแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1 ตกลงนำเงินฝากในสมุดคู่ฝากประจำมาค้ำประกันต่อผู้ร้องเป็นเพียงแต่ตกลงว่าจะไม่ถอนเงินไปจากบัญชี และหากจำเลยที่ 1 มีหนี้ค้างชำระอยู่เท่าไร จำเลยที่ 1 ยอมให้ธนาคารผู้ร้องหักเงินฝากมาชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นไปทันที ข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 คงเป็นการฝากเงินเพื่อประกันหนี้เท่านั้น ไม่ใช่การจำนำ ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกันไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากเงินฝากที่ผู้ร้องได้นำส่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่โจทก์ได้ขออายัดไว้.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุดจำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดเงินฝากในบัญชีของจำเลยที่ 1จำนวน 50,000 บาท ไปยังผู้ร้อง และให้ผู้ร้องส่งเงินดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้นำเงินดังกล่าวส่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้จำนำได้รับเงินที่อายัดก่อนโจทก์ และได้รับเงินดังกล่าวคืนไปจากศาล
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ตามคำร้องของผู้ร้องไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ที่จะร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามกฎหมายให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องขอกันส่วนของผู้ร้องฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์ในวงเงิน 50,000 บาท มีกำหนด 12 เดือน โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบสมุดคู่ฝากเงินฝากประจำจำนวนเงิน 50,000 บาทที่ฝากไว้กับธนาคารผู้ร้อง จำนำไว้เป็นประกันการค้ำประกันของผู้ร้องนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้ทำบันทึกสลักหลังการจำนำสมุดคู่ฝากเงินฝากประจำดังกล่าวต่อผู้ร้องด้วย มีปัญหาว่าข้อตกลงระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 1 เข้าลักษณะเป็นการจำนำที่ทำให้ผู้ร้องมีบุริมสิทธิ์ที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์และขอรับเงินคืนได้หรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 ในการจำนำผู้จำนำจะต้องส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจำนำเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ คดีนี้แม้ผู้ร้องได้ยินยอมให้นำเงินจำนวน 50,000 บาท ที่ฝากไว้ตามสมุดคู่ฝากประจำของธนาคารผู้ร้องเป็นประกันหนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ร้องได้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 แต่เงินฝากประจำจำนวน 50,000 บาทที่จำเลยที่ 1 ฝากไว้กับธนาคารผู้ร้องนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องมาตั้งแต่มีการฝากเงิน จำเลยที่ 1 ผู้ฝากคงมีสิทธิที่จะถอนเงินที่ฝากไปได้ ผู้ร้องคงมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวนที่ขอถอนเท่านั้น จึงไม่ใช่การส่งมอบสังหาริมทรัพย์ของจำเลยที่ 1ให้แก่ผู้ร้องตามลักษณะจำนำแต่อย่างใด นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1ตกลงนำเงินฝากในสมุดคู่ฝากประจำมาค้ำประกันต่อผู้ร้อง ก็เพียงแต่ตกลงว่าจะไม่ถอนเงินไปจากบัญชีและหากจำเลยที่ 1 มีหนี้ค้างชำระอยู่เท่าไร จำเลยที่ 1 ยอมให้ธนาคารผู้ร้องหักเงินฝากมาชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นได้ทันที ข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 คงเป็นการฝากเงินเพื่อประกันหนี้เท่านั้น หาใช่การจำนำไม่ทั้งข้อเท็จจริงตามคำร้องก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกันไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากเงินดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share