คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกโฉนดทับที่ดินของโจทก์และขอให้เพิกถอนโฉนด แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าที่ดินที่โจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าเป็นที่พิพาท โจทก์และจำเลยต่างครอบครองทำกินอยู่คนละแปลง แต่ยึดถือโฉนดซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินออกให้ผิดสลับแปลงกันจึงมิใช่เป็นการออกโฉนดทับที่ดินโจทก์ตามฟ้อง การที่โจทก์ขอให้ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทที่โจทก์ครอบครองเป็นของโจทก์นั้นแม้วินิจฉัยไปก็ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนโฉนดที่จำเลยยึดถือไว้ เพราะมิใช่เป็นการออกโฉนดทับที่ดินโจทก์ดังกล่าว ส่วนจะมีการสลับโฉนดกันหรือไม่ และจะบังคับกันอย่างไร โจทก์มิได้ฟ้องในเรื่องดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง กรมชลประทานขุดคลองส่งน้ำผ่านที่ดินของโจทก์ โจทก์ขอรับเงินค่าชดเชยไม่ได้เนื่องจากที่ดินมีโฉนดเป็นชื่อของบุคคลอื่น บุคคลอื่นโอนต่อมายังจำเลย โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยเพิกถอนโฉนดดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย อ้างว่าไม่ทับที่ดินของโจทก์และเป็นโฉนดสำหรับที่ดินของจำเลยที่ตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลพุดซาขอให้บังคับจำเลยไปเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 5604 เล่ม 57 หน้า 4 ตำบลพุดซาอำเภอเมืองนครราชสีมา ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยซื้อมาจากผู้มีชื่อเมื่อปี 2510จดทะเบียนการได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าพนักงานได้ออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทเมื่อปี 2491 โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ข้อต่อสู้ของโจทก์ในเรื่องการเป็นเจ้าของที่พิพาทจึงถูกกฎหมายปิดปากถือได้ว่าเจ้าพนักงานได้ออกโฉนดโดยชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาว่า โจทก์นำพยานหลักฐานเข้าสืบฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้เข้าทำประโยชน์ในนาแปลงพิพาทส่วนที่ดินที่จำเลยซื้อจากนายผา รัตนาพันธุ์อยู่ที่ทุ่งโนนโตนด ที่พิพาทจึงเป็นของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์อ้างว่ามีที่ดิน 1 แปลง อยู่หมู่ 12 ตำบลพุดซา โจทก์ได้ครอบครองทำกินตลอดมา ต่อมาทราบว่านายหวาดกลมข้างพลู ได้ขอออกโฉนดทับที่ดินโจทก์แล้วจดทะเบียนโอนต่อให้บุคคลอื่นจนโอนมายังจำเลย ขอให้จำเลยเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อจากนายผา รัตนาพันธ์ และครอบครองทำกินตลอดมา ตามคำฟ้องและคำให้การดังกล่าว ที่ดินที่โจทก์และจำเลยต่างเรียกว่าพิพาทนั้น ไม่ปรากฏว่าจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกันหรือไม่ ถ้าเป็นแปลงเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าได้ครอบครองทำกินตลอดมานับเป็นสิบ ๆ ปี ก็น่าจะพิพาทแย่งการครอบครองทำกินนานแล้วแต่ฟ้องก็ไม่มีข้อความว่าจำเลยเข้าแย่งการครอบครองทำกิน เพราะโจทก์เพียงแต่ขอให้เพิกถอนโฉนดที่จำเลยยึดถืออยู่โดยอ้างว่าออกทับที่ดินของโจทก์เท่านั้น แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์ได้นำสืบว่า โจทก์ได้ทำกินในที่พิพาทตลอดมา แต่โฉนดที่โจทก์ยึดถือไว้ไม่ตรงกับที่พิพาทที่โจทก์ทำกิน กลับไปตรงกับที่ดินของจำเลย และจำเลยได้ยึดถือโฉนดที่ดินของจำเลยที่ไม่ตรงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองทำกินอยู่ แต่โฉนดที่จำเลยยึดถือไว้ดังกล่าวตรงกับที่ดินแปลงของโจทก์ เพราะแต่เดิมที่มีการออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวได้มีการออกโฉนดสลับแปลงกัน ตามข้อนำสืบดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่า ที่ดินที่โจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าเป็นที่พิพาท โจทก์และจำเลยต่างครอบครองทำกินกันอยู่คนละแปลง แต่ยึดถือโฉนดซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินออกให้สลับแปลงกัน ฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกโฉนดทับที่ดินของโจทก์และขอให้เพิกถอนโฉนดแต่ในชั้นพิจารณากลับนำสืบว่าโฉนดที่ดินของโจทก์กับจำเลยเป็นโฉนดที่เจ้าพนักงานที่ดินออกให้ผิดแปลงเป็นการสลับกัน จึงมิใช่เป็นการออกโฉนดทับที่ดินโจทก์ตามฟ้องแต่อย่างใดและที่โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่า ควรรับฟังพยานหลักฐานว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั้น ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นที่พิพาท ตามฟ้องและข้อนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เข้าครอบครองทำกินแต่อย่างใด เพราะที่ดินที่จำเลยซื้อจากนายผาและจำเลยเรียกว่าที่พิพาทเช่นเดียวกันนั้น ตามข้อนำสืบของโจทก์เป็นที่ดินอีกแปลงหนึ่ง การที่โจทก์ฎีกาให้วินิจฉัยว่าที่พิพาทที่โจทก์ครอบครองทำกินอยู่เป็นของโจทก์ แม้วินิจฉัยไปก็ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนโฉนดที่จำเลยยึดถือไว้ เพราะมิใช่เป็นการออกโฉนดทับที่ดินโจทก์ตามที่ฟ้องส่วนจะมีการสลับโฉนดกันหรือไม่และจะบังคับกันอย่างไรโจทก์มิได้ฟ้องในเรื่องดังกล่าว ทั้งมิได้ฎีกาโต้แย้งเรื่องการเพิกถอนโฉนดแต่อย่างใด ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share