แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจากกระสุนปืนนัดหนึ่งที่ใต้เช่าปรากฏว่ากระสุนปืนเข้าทางด้านหลังทะลุด้านหน้า แสดงว่าอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงนั้นเป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงทำให้ถึงตายได้ถ้าถูกอวัยวะที่สำคัญ การที่จำเลยเล็งอาวุธปืนและยิงไปทางผู้เสียหายหลายนัด แม้จะยิงในระยะห่างเพียงประมาณ 5 วา และกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ใต้เข่าเพียงนัดเดียว อาจเนื่องมาจากความไม่ชำนาญในการใช้อาวุธปืนของจำเลยเอง จะถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะยิงอวัยวะส่วนที่สำคัญของร่างกายโดยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายต้น ทองจิตติ ผู้เสียหายจำนวน 5 นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ขาซ้ายท่อนล่างบริเวณใต้เข่าเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80และให้นำโทษจำคุก 8 เดือน ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 594/2531 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 594/2531 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ให้จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ในการพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 6 ปี 8 เดือนที่โจทก์ขอให้บวกโทษคดีนี้กับโทษของจำเลยคดีอาญาหมายเลขแดงที่594/2531 ของศาลชั้นต้นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ว่า ยิงผู้เสียหายเพื่อป้องกัน ไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน แต่จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ผู้เสียหายและจำเลยมีที่ดินทำกินอยู่ติดกัน ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายไปดูต้นกล้วยที่ถูกไฟไหม้ในที่ดินของผู้เสียหายจำเลยวิ่งมาหาผู้เสียหาย ในขณะที่จำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 5 วา จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 5 นัด กระสุนปืนนัดสุดท้ายถูกผู้เสียหายที่ขาซ้ายท่อนล่างบริเวณใต้เข่า เมื่อสิ่งเสียงปืนนัดสุดท้ายผู้เสียหายล้มลง เหตุที่จำเลยยิงผู้เสียหายนั้น ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามที่จำเลยอ้างว่าผู้เสียหายจะใช้ขวานฟันจำเลยก่อน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจากกระสุนปืนนัดหนึ่งที่ใต้เข่า ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ปรากฏว่ากระสุนปืนเข้าทางด้านหลังทะลุด้านหน้า แสดงว่าอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงนั้นเป็นอาวุธปืนที่มีประสิทธิภาพที่จะใช้ยิงทำให้ถึงตายได้ถ้าถูกอวัยวะที่สำคัญ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้เสียหายถึง5 นัด เช่นนั้น แม้จะยิงในระยะห่างเพียงประมาณ 5 วา จะถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะยิงอวัยวะส่วนที่สำคัญของร่างกายโดยถือเอากระสุนปืนนัดที่ถูกผู้เสียหายที่ใต้เข่ามาเป็นข้อพิจารณาเจตนาของจำเลยตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยนั้น ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ได้ความว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้เสียหาย และในชั้นที่จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ จำเลยก็ได้แสดงท่าทางขณะยิงผู้เสียหายตามภาพถ่ายหมาย จ.17 ให้เห็นว่าจำเลยเล็งอาวุธปืนตรงไปทางตัวผู้เสียหาย กรณีจึงไม่อาจเข้าใจไปตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะยิงบริเวณขาผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนอันเป็นอาวุธร้ายแรงที่ทำให้ถึงตายได้ยิงไปทางผู้เสียหายหลายนัดนั้นแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ส่วนที่กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ใต้เข่าเพียงนัดเดียวแม้จะอยู่ห่างกันประมาณ 5 วาอาจเนื่องมาจากความไม่ชำนาญในการใช้อาวุธปืนของจำเลยเอง ไม่อาจนำเอาข้อเท็จจริงในส่วนนี้มาเป็นข้อชี้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหายได้ ต้องดูการกระทำของจำเลยทั้งหมดที่ทำมา ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.