คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ผู้ที่จะถูกเพิ่มโทษได้จะต้องเป็นผู้ที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก. และได้กระทำผิดขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปีนับแต่วันพ้นโทษซึ่งวันพ้นโทษก็คือพ้นโทษจำคุกในคดีก่อนนั่นเอง. ดังนั้น เมื่อคดีก่อนศาลลงโทษจำคุกแต่รอการลงโทษไว้.จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษได้.แม้ว่าจำเลยจะมาทำผิดขึ้นอีกภายใน 5 ปี นับแต่วันครบกำหนดรอการลงโทษก็ตาม ก็เพิ่มโทษมิได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันทำร้ายร่างกาย จำเลยที่ 2เคยต้องโทษจำคุกมาแล้ว 2 ครั้ง คือเมื่อ พ.ศ. 2508 จำคุก 2 เดือนปรับ 200 บาทฐานทำร้ายร่างกาย ศาลรอการลงโทษ 2 ปี พ.ศ. 2510จำคุก 2 เดือน ปรับ 150 บาท ฐานทำร้ายร่างกาย ศาลรอการลงโทษไว้2 ปี ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83และขอให้นำโทษที่รอของจำเลยที่ 2 มาบวกและเพิ่มโทษด้วยตามมาตรา 58, 92 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ไม่ผิดจริงให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดจำคุก 6 เดือน แต่เพิ่มโทษไม่ได้และได้นำโทษที่รอมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ด้วย โจทก์อุทธรณ์เฉพาะขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้จะถูกเพิ่มโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92 ต้องเป็นผู้ที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและได้กระทำผิดขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษจำคุกในคดีก่อนเมื่อในคดีก่อนจำเลยไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้ และการเพียงแต่รอการลงโทษจำคุกก็ไม่ใช่โทษซึ่งเมื่อครบ 2 ปี ตามที่รอไว้แล้วจะเป็นการพ้นโทษไปในตัว ทั้งตามมาตรา 58 วรรค 2 ก็บัญญัติไว้ว่า ถ้าภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56 (คือกำหนดให้รอการลงโทษไว้ไม่เกิน 5 ปี)ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรกของมาตรา 58 นั้นก็ให้ผู้นั้นพ้นจากการที่จะถูกลงโทษในคดีนั้น ซึ่งก็แสดงอยู่ชัดว่าต้องถือว่าผู้นั้นไม่เคยถูกลงโทษจำคุก ฉะนั้น จึงไม่มีทางที่จะถือว่าจำเลยที่ 2 นี้มากระทำผิดขึ้นอีกภายใน 5 ปีนับแต่วันพ้นโทษทั้งความประสงค์ในการเพิ่มโทษก็อยู่ที่ผู้นั้นได้ทำผิดและถูกลงโทษมาแล้วไม่เข็ดหลาบ มากระทำผิดขึ้นอีกจึงควรเพิ่มโทษ พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์.

Share