คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2986/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จและเบิกความเท็จต่อศาลในคดีแพ่ง เรื่องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี และบรรยายรายละเอียดที่จำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จพร้อมกับความเป็นจริงว่าอย่างไรทั้งคำเบิกความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าในคดีดังกล่าวประเด็นและข้อความที่เป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีนั้นอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยทั้งสองเบิกความมาในฟ้องและนำสืบอ้างสำนวนคดีนั้นมาด้วยก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนดังกล่าวไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11795ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน61 ตารางวา จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 225/2528 หมายเลขแดงที่218/2528 ของศาลชั้นต้น และเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีดังกล่าวโดยจำเลยที่ 1 ได้เบิกความต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม2528 ว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2515 จำเลยที่ 1 ได้ไปขอซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 11795 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีซึ่งจำเลยที่ 1 ขายฝากไว้แก่โจทก์คืนจากโจทก์เป็นเงิน 150,000 บาทจำเลยที่ 1 ได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์แล้วโดยมีจำเลยที่ 2 รู้เห็นทั้งนี้โจทก์บอกจำเลยที่ 1 ว่าโฉนดที่ดินหายไป เมื่อพบแล้วจะโอนที่ดินให้จำเลยที่ 1 และได้มอบการครอบครองที่ดินให้จำเลยที่ 1ครอบครองทำประโยชน์เรื่อยมาโดยไม่มีใครโต้แย้งคัดค้านจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 12 ปีเศษ และจำเลยที่ 2 ได้เบิกความต่อศาลชั้นต้นในวันเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2515 จำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวคืนจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินเรียบร้อยแล้วต่อหน้าจำเลยที่ 2 โจทก์บอกว่าหาโฉนดที่ดินไม่พบหากพบเมื่อใดจะโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และได้มอบการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ซึ่งเป็นการนำสืบและเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลชั้นต้น ความจริงจำเลยที่ 1ไม่เคยมาขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่เคยมากับจำเลยที่ 1 เพื่อชำระเงินจำนวน 150,000 บาท ให้แก่โจทก์โจทก์ไม่เคยแจ้งแก่จำเลยทั้งสองว่าหาโฉนดที่ดินไม่พบและไม่เคยมอบการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์ โจทก์ยังเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมาจนถึงปัจจุบัน คำเบิกความของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสำคัญในคดี เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยที่ 1 ได้ไปซึ่งประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 177, 180
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 และ 180 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ลงโทษจำเลยทั้งสองจำคุกคนละ 3 ปี จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) หรือไม่ พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จและเบิกความเท็จต่อศาลในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 225/2528 หมายเลขแดงที่ 218/2528 ของศาลชั้นต้น เรื่องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดี และบรรยายรายละเอียดที่จำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จพร้อมกับความเป็นจริงว่าอย่างไรทั้งคำเบิกความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าในคดีดังกล่าวประเด็นและข้อความที่เป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีนั้นอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยทั้งสองเบิกความมาในฟ้องและนำสืบอ้างสำนวนคดีนั้นมาด้วยก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนดังกล่าวหาใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)”
พิพากษายืน

Share